11/12/2019
Environment
ออกแบบเมืองอย่างไรให้สู้กับโลกร้อนได้
The Urbanis
The point of no return: จุดเปลี่ยน หรือ จุดจบมวลมนุษยชาติ?
มันเหมือนกับตลกร้าย
ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา มนุษย์พยายามดิ้นรนต่อสู้กับธรรมชาติ เราสรรค์สร้างสิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน
แต่จนถึงวันนี้ วันที่มนุษย์เราก้าวข้ามขีดจำกัดหลากประการ สร้างสรรค์นวัตกรรมมากมาย สิ่งเหล่านั้นกลับยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้โลกของเราเข้าใกล้คำว่าหายนะมากขึ้น
ตอนที่ 1 : Let’s beat the heat เปิดตำราเมืองร้อนกับ 7 เครื่องมือพิชิตร้อน
Cooling Singapore, Singapore-ETH Centre, Singapore
ประเด็นใหญ่ที่สุดและเป็นที่ตระหนักมากที่สุดขององค์กรต่างๆทั่วโลก ซึ่งคงไม่มีใครไม่พูดถึงคือ วิกฤตการณ์โลกร้อน (Global Warming Crisis)
ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ได้เก็บข้อมูลและประเมินสถานการณ์ความเร่งด่วนโดยใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศเพื่อกำหนดเส้นตายสำหรับการเริ่มดำเนินการด้านสภาพอากาศเพื่อควบคุมไม่ให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ° C ในปี 2100 โดยจากผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า
หากเราไม่มีการแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 45% ภายในปี 2030 เราจะก้าวสู่ the point of no return โลกของเราจะก้าวถึงจุดที่ไม่สามารถเยียวยาได้อีกต่อไป
Air conditioners cover buildings in Singapore, https://www.ccacoalition.org
หลายประเทศกำลังดำเนินนโยบายแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในนั้นคือประเทศสิงคโปร์ ที่เพิ่งมีการจัดแสดงนิทรรศการ “City of Tomorrow”, through a showcase of URA’s research focus areas that span the themes of “New Spaces”, “Greater Sustainability” and “Science of Cities”. ของ URA Centre ซึ่งได้มีการกำหนดนโยบายร่วมกันจากหลายฝ่าย เพื่อขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
และหนึ่งในนวัตกรรมของสิงคโปร์ คือการพัฒนาระบบเทคโนโลยี Energy Grid 2.0 เพื่อใช้ในการพัฒนาความมั่นคงของระบบการผลิตพลังงานทดแทนและระบบทำความเย็น (Cooling Energy Science and Technology Singapore; CoolestSG) ซึ่งได้มีการประเมินผลของระบบว่าสามารถที่จะช่วยลดอุณหภูมิภายนอกอาคารและยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้พลังงานสิ้นเปลืองได้ถึง 40%
Outdoor Cooling Innovation By ST Engineering & SP Group – How It Works
นอกจากนี้ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่สิงคโปร์ยังได้ออกแบบแนวทางในการออกแบบวางผัง (Design Guideline) เพื่อส่งเสริมการลดอุณหภูมิในทุกภาคส่วน ภายใต้ 7 หมวดอันได้แก่
1. Vegetation: การสร้างระบบนิเวศน์ที่เขียวขจีที่ถูกปรับใช้ ไม่ใช่เพียงแต่บนพื้นดิน แต่ยังหมายรวมถึงแนวทางในการออกแบบพื้นที่สีเขียวทางตั้ง ตามนโยบายของ LUSH
2. Urban Geometry: การออกแบบควบคุมมวล รวมถึงทิศทางในการวางผังอาคารทั้งรูปแบบและความสูง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการถ่ายเทของอากาศ
3. Water Bodies and Features: การใช้น้ำเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการออกแบบเพื่อให้เกิดการลดอุณหภูมิ และปริมาณความร้อนที่สะสมบนผิวดิน
4. Material and Surfaces: การใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยลดการสะท้อนของแสงแดด ลดการสะสมพลังงานความร้อน ไปจนถึงการออกแบบโทนสีอาคารด้วยสีสว่าง
5. Shading: การสร้างร่มเงา ให้เกิดขึ้นภายนอกอาคาร เพื่อส่งเสริมการขยายพื้นที่การใช้ชีวิตออกสู่นอกอาคาร และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาควบคู่ไปกับการสนับสนุนการเดิน
6. Transport: ส่งเสริมให้คนลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ไปพร้อมกับการส่งเสริมระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพ รวมทั้งมาตรการส่งเสริมการเดินทางที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ (Non-motorized Transportation) อย่างการเดินเท้าและการปั่นจักรยาน
7 Energy: ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และการใช้ผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงาน
Cooling Singapore, https://www.straitstimes.com
นี่เป็นเพียงหนึ่งในแนวทางจากการที่นักออกแบบได้พยายามตีโจทย์ของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และต่อสู้กับความท้าทายของภัยพิบัติ
หากถามว่าเมืองในอนาคตจะมีหน้าตาอย่างไร คำตอบนั้นคงจะมีความหลากหลายอย่างมาก มันอาจหมายถึงเมืองที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตสมัยใหม่ ที่พร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยมีการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติด้วยทางเลือกหลากรูปแบบก็ได้
และท้ายที่สุดแล้ว หากให้เลือกคำจำกัดความของเมืองแห่งอนาคต เราอาจพอบอกได้ว่าคือ “เมืองที่เตรียมพร้อมต่อการปรับตัว”
นั่นคือคำพูดของ Rahul Mehrotra จากฮาร์วาร์ด ที่บอกว่า “The urbanism is not about the grand vision, it’s about the grand adjustment”
เพราะวิถีชีวิตในเมืองนั้นไม่ใช่การมีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ แต่คือเรื่องของการปรับตัวที่ยิ่งใหญ่ต่างหาก