17/09/2025
Environment
สวนผักคนเมืองกับเส้นทางสู่ความมั่นคงทางอาหารและเมืองที่ดีขึ้น
The Urbanis

จุดเริ่มต้นของ “สวนผักคนเมือง” อาจดูเหมือนเพียงการส่งเสริมให้คนปลูกผักในพื้นที่จำกัดของเมือง แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังคือประสบการณ์กว่า 30 ปีของการขับเคลื่อนเรื่องเกษตรกรรมยั่งยืน ผ่านเครือข่าย NGO ที่เติบโตมาตั้งแต่ยุคปฏิวัติเขียว เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกที่พี่สุภา พี่วิฑูรย์ และนักกิจกรรมรุ่นบุกเบิกได้ร่วมกันรวบรวมภูมิปัญญาชาวบ้านและระบบเกษตรผสมผสานเพื่อท้าทายแนวคิดการผลิตเชิงเดี่ยวในยุคนั้น
วันนี้ The Urbanis จะขอพาชาวเมืองทุกท่านไปพูดคุยกับ คุณวรางคนางค์ นิ้มหัตถา หัวหน้าโครงการสวนผักคนเมือง มูลนิธิเกษตรกรรม โดยเริ่มต้นจากมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในฐานะสถาบันทางวิชาการเพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้เชิงระบบ ต่อมาในปี 2553 เมื่อประเด็น “ความมั่นคงทางอาหาร” เริ่มถูกพูดถึงในมิติของคนเมือง มูลนิธิจึงได้รับทุนจาก สสส. และริเริ่มโครงการ “สวนผักคนเมือง” โดยตั้งโจทย์สำคัญว่า “คนเมืองจะเข้าถึงอาหารปลอดภัยได้อย่างไร?”
จากผักในกระถาง สู่เครื่องมือเปลี่ยนเมือง

สวนผักคนเมืองไม่ได้หยุดอยู่ที่การปลูกผักในพื้นที่จำกัด แต่ขยายขอบเขตความคิดสู่การมอง “เกษตรในเมือง” เป็นกลไกหนึ่งของ “เมืองที่ยั่งยืน” ด้วยยุทธศาสตร์ 4 ด้านหลัก ได้แก่
- การเผยแพร่แนวคิดและความรู้เรื่องเกษตรในเมือง
- การสร้างศูนย์เรียนรู้และนวัตกรรมเกษตรที่เหมาะกับพื้นที่เมือง
- การผลักดันเชิงนโยบาย
- การขยายผลสู่ชุมชนกลุ่มเปราะบาง
“เกษตรในเมืองไม่ใช่แค่เรื่องอาหาร แต่มันคือการออกแบบเมืองใหม่ ที่ให้พื้นที่สีเขียว พื้นที่สุขภาพ พื้นที่ทางสังคม เกิดขึ้นในทุกตารางเมตรของเมือง” นักขับเคลื่อนกล่าว
พวกเขาไม่ได้ทำงานนี้เพียงลำพัง แต่ยังเชื่อมโยงไปพร้อมกับกลุ่มนักปลูกต่าง ๆ อย่างคุณปริ๊นจากบ้านเจ้าชายผัก และพี่ชูเกียรติจากสวนผักบ้านคุณตา ไปจนถึงโรงเรียนและสำนักงานเขตต่าง ๆ เพื่อให้เกิดเครือข่ายศูนย์เรียนรู้ขนาดย่อมที่เผยแพร่นวัตกรรมการปลูกผักในเมือง ตั้งแต่แปลงผักยกพื้นไปจนถึงระบบการจัดการน้ำและดินในพื้นที่จำกัด
ความท้าทาย: คนเมืองอาจไม่รู้ว่าเรากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง

“ภัยจากสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คนเมืองอาจไม่รู้ว่า ‘ต้นทางของอาหาร’ กำลังเจออะไรบ้าง” พวกเขากล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมยกตัวอย่างเกษตรกรในเมืองที่ต้องเผชิญกับฤดูกาลที่ไม่แน่นอน ฝนตกผิดเวลา ดินเสื่อมคุณภาพ ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนที่ไม่เป็นธรรมในระบบอาหารเมือง
“แต่คนปลูกผักในเมือง เขารู้ เขาเรียนรู้ผ่านมือ ผ่านดิน ผ่านเมล็ดพันธุ์”
สิ่งที่ทีมงานพยายามผลักดันในตอนนี้ คือการสร้างนวัตกรรมจากฐานความรู้ที่เกิดขึ้นจริงในเมือง ไม่ใช่แค่เทคนิคใหม่ แต่คือการมองเห็นความหมายใหม่ของการใช้พื้นที่เมือง
มองเมืองอย่างเป็นระบบ และเข้าใจความเปราะบางของชุมชน
แม้จะดำเนินโครงการมาแล้วกว่า 12 ปี (ข้อมูลปี 2566) แต่จำนวนกลุ่มสวนผักคนเมืองใน กทม. ยังมีเพียงราว 300 กลุ่ม ในขณะที่ชุมชนในเมืองมีอยู่หลักพัน และส่วนมากเป็น “ชุมชนที่ไม่จัดตั้ง” หรือ “ชุมชนเปราะบาง” ที่ไม่สามารถเข้าถึงงบประมาณสนับสนุนตามระบบปกติได้
“สองแสนบาทต่อชุมชนที่รัฐให้ มันช่วยได้แค่บางกลุ่ม ส่วนกลุ่มเปราะบางที่เก็บของเก่าขาย หรืออยู่ในพื้นที่รุก พวกเขาไม่มีเสียง ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงทุนเลย”
คำตอบของสวนผักคนเมืองคือการเชื่อมโยง “พื้นที่อาหาร” กับประเด็นโครงสร้างอื่นของเมือง ทั้งสิทธิในที่ดิน การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงระบบนิเวศ การลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน และแม้แต่เรื่องสุขภาพจิต
“เราทำเรื่องเล็ก ๆ แต่เห็นผลได้เร็ว เพราะมันเปลี่ยนได้จากมือของคนในชุมชนเอง ถ้ารัฐเห็นตรงนี้และหนุนเสริม มันจะกลายเป็นนโยบายที่มีพลัง”
เกษตรในเมืองจึงไม่ใช่เพียงเทรนด์เพื่อสุขภาพ แต่เป็นกระบวนการฟื้นฟูชีวิตของคนในเมืองจากฐานรากของระบบอาหาร ถือเป็นการกลับไปทบทวนว่าเมืองควรเป็นของใคร และเราจะอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคงได้อย่างไร
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะด้วยแนวคิดเกษตรในเมือง: กลไกบูรณาการเชิงนโยบายเพื่อสร้างพื้นที่สุขภาวะ และพื้นที่ส่งเสริมความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารของกรุงเทพมหานคร ดำเนินการโดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC-CEUS) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)