24/10/2025
Environment

สำนักสิ่งแวดล้อม กทม. กับบทบาทในการขับเคลื่อนเกษตรในเมือง

The Urbanis อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ ศุภกร มาเม้า
 


เกษตรในเมืองได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติจริง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ซึ่งเผชิญกับข้อจำกัดด้านพื้นที่ ความหนาแน่นของประชากร และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สวนสาธารณะ พื้นที่ว่าง แม้แต่พื้นที่ระเบียงคอนก็เป็นกลายเป็นพื้นที่ศักยภาพในการสร้างระบบอาหารในระดับชุมชน ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร และสุขภาวะของคนเมือง

วันนี้ The Urbanis ชวนชาวเมืองพูดคุยคุณประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร เพื่อสะท้อนบทบาทเชิงนโยบาย แนวทางการดำเนินงาน และข้อเสนอเชิงระบบในการขับเคลื่อนเกษตรในเมืองภายใต้บริบทของกรุงเทพมหานคร

ศักยภาพและบทบาทของสำนักสิ่งแวดล้อมในการสนับสนุนเกษตรในเมือง

สำนักสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญในฐานะหน่วยงานที่มีองค์ความรู้เชิงวิชาการเกี่ยวกับพืช และการขยายพันธุ์อย่างครอบคลุม โดยมีทั้งฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปลูก และฝ่ายขยายพันธุ์ไม้ ซึ่งทำให้การส่งเสริมการปลูกพืชผักสวนครัวในพื้นที่สาธารณะและที่อยู่อาศัยของประชาชนมีความพร้อมในเชิงองค์ความรู้และทรัพยากร
กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออกบูธ แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ และเผยแพร่ผลิตภัณฑ์จากสวน เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกระจายแนวคิด “สวนกินได้” ไปสู่ประชาชน โดยเฉพาะในบริบทของการส่งเสริมพื้นที่สีเขียวขนาดเล็กในที่อยู่อาศัย เช่น การปลูกผักในกระถางบริเวณระเบียงคอนโดฯ ซึ่งแม้จะดูเล็กน้อยในเชิงปริมาณ แต่ส่งผลเชิงคุณค่าและพฤติกรรมในระยะยาว

จุดเริ่มต้นจากภายในองค์กร สู่การขยายผลเชิงระบบ

แนวคิดในการนำเกษตรเข้าสู่พื้นที่สวนสาธารณะ เริ่มต้นจากความต้องการของเจ้าหน้าที่สวนที่ต้องการปลูกพืชผักเพื่อบริโภคเองในชีวิตประจำวัน ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของพื้นที่และทรัพยากรที่มีอยู่ภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ว่าง เมล็ดพันธุ์ หรือแรงงาน ส่งผลให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความมั่นคงทางอาหารในระดับปัจเจก นอกจากนี้ การปลูกพืชโดยไม่ใช้สารเคมียังสะท้อนถึงเป้าหมายด้านความปลอดภัยทางอาหาร ซึ่งสามารถเป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลในระดับเมืองได้อย่างเป็นระบบ

โอกาสและศักยภาพในการพัฒนา

แม้จะมีศักยภาพด้านองค์ความรู้และทรัพยากร แต่สำนักสิ่งแวดล้อมยอมรับว่าการประชาสัมพันธ์และการเข้าถึงประชาชนยังเป็นข้อจำกัดที่สำคัญ โดยเฉพาะในบริบทเมืองที่มีความซับซ้อนด้านโครงสร้างทางกายภาพและสังคม

ขณะเดียวกันกรุงเทพฯ เองก็มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่บางส่วน เช่น บางนา หรือบางมด ที่ยังมีลักษณะกึ่งชนบทและความคุ้นเคยกับการทำเกษตร หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม อาจกลายเป็นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดเกษตรในเมืองให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

แปลงเกษตรในสวนสาธารณะ: พื้นที่เรียนรู้และเชื่อมโยงสุขภาวะ

ปัจจุบันมีสวนสาธารณะภายใต้การดูแลของสำนักสิ่งแวดล้อมที่จัดสรรพื้นที่สำหรับเกษตรกรรมแล้วจำนวน 20 แห่ง (ข้อมูลปี 2566) ซึ่งแม้บางแห่งอาจอยู่ในมุมที่ไม่เด่นชัด แต่ถือเป็น “พื้นที่สีเขียวเพื่อการบริโภค” ที่มีศักยภาพในการขยายผล

การออกแบบสวนแต่ละแห่งให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ เช่น สวนจตุจักรที่เน้นดอกไม้ สวนรถไฟที่เป็นแหล่งดูนกและผีเสื้อ หรือสวนสมเด็จพระนางเจ้าที่เน้นพันธุ์ไม้ สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า สวนแต่ละแห่งสามารถผสานแนวคิดเกษตรในเมืองให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของตนได้ เช่น การจัดบูธเรียนรู้ การแจกเมล็ดพันธุ์ และการจัดกิจกรรมกับชุมชน เพื่อเปลี่ยน “สวน” ให้กลายเป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง”

เกษตรในเมืองกับนโยบายสวนสาธารณะ 15 นาที

การเชื่อมโยงแนวคิดเกษตรในเมืองกับนโยบาย “สวนสาธารณะ 15 นาที” เป็นโอกาสสำคัญในการขยายพื้นที่สีเขียวที่เข้าถึงได้ง่ายในระดับชุมชน หากชุมชนให้ความร่วมมือในการจัดการพื้นที่ และมีหลักการในการบริหารผลผลิตอย่างเป็นธรรม ก็สามารถผลักดันให้สวนสาธารณะกลายเป็นสวนกินได้ที่ชุมชนมีส่วนร่วมในมุมของสำนักสิ่งแวดล้อม พร้อมที่จะสนับสนุนทั้งในเชิงองค์ความรู้ พันธุ์พืช และแนวทางการดำเนินงาน เพียงแต่ต้องมีระบบการจัดการที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน

ข้อเสนอเชิงนโยบาย: การสร้างแรงจูงใจและการมีส่วนร่วมของประชาชน

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเกษตรในเมืองในมุมมองของผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มจำนวนพื้นที่หรือการแจกจ่ายทรัพยากร แต่คือการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชน “อยากมีส่วนร่วม” ในการดูแลสุขภาพของตนเองและชุมชน

หากประชาชนเห็นคุณค่าและมีแรงบันดาลใจในการลงมือทำ แนวทางสนับสนุนจากภาครัฐก็จะเกิดผลได้ง่ายและยั่งยืนมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสำนักสิ่งแวดล้อมในการร่วมเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่สะอาด สีเขียว และส่งเสริมสุขภาวะ พร้อมถ่ายทอดทรัพยากรและองค์ความรู้สู่คนรุ่นต่อไป

การขับเคลื่อนเกษตรในเมืองในบริบทของกรุงเทพมหานครไม่สามารถพึ่งพาเพียงนโยบายจากภาครัฐหรือทรัพยากรที่มีอยู่เท่านั้น แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ชุมชน และประชาชนทั่วไป บทบาทของสำนักสิ่งแวดล้อมในฐานะผู้มีองค์ความรู้ พื้นที่ และความพร้อมในการดำเนินงาน จึงเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ “สวนกินได้” กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศเมืองอย่างแท้จริง ทั้งเพื่อความมั่นคงทางอาหาร สุขภาวะ และคุณภาพชีวิตของคนเมืองในระยะยาว

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะด้วยแนวคิดเกษตรในเมือง: กลไกบูรณาการเชิงนโยบายเพื่อสร้างพื้นที่สุขภาวะ และพื้นที่ส่งเสริมความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารของกรุงเทพมหานคร ดำเนินการโดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC-CEUS) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


Contributor