08/09/2025
Environment

จุดเริ่มต้นการเปิดพื้นที่สาธารณะ “สวนครูองุ่น” สู่สวนเกษตรเพื่อประชาชน

The Urbanis
 


หลังจากที่เราได้พูดคุยกับคุณวิไลวรรณเกี่ยวกับความสำคัญของการแบ่งปันองค์ความรู้จาก SAFETist Farm ที่มุ่งเน้นให้คนในชุมชนเข้าใจเรื่อง อาหารปลอดภัย ไม่ใช่แค่การสอนปลูกผักเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการปลูกอย่างไรให้ ลดต้นทุน สร้างรายได้ให้ชุมชน และส่งเสริมสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ SAFETist Farm ยังให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่ชุมชนสามารถมีส่วนร่วมได้ ทำให้เกิดการพึ่งพาตนเองและสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม

วันนี้ The Urbanis จึงอยากพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จัก “ครูองุ่น มาลิก” ในฐานะ “ผู้ให้ของสังคม” หรือผู้ริเริ่มสวนครูองุ่นผ่านการสร้างคุณค่าพื้นที่ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้คนในสังคม สู่การพัฒนากลายเป็นสวนเกษตรในเมือง โดยมีจุดเริ่มต้นจากความชอบการทำงานด้านสังคม สู่การเปิดพื้นที่สาธารณะแก่ประชาชนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ เพียงเพราะต้องการสร้างพื้นที่ที่มีประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้เข้าใช้บริการอย่างเท่าเทียม ผ่านการพูดคุยกับ คุณสิริพร สุขชูศรี ตัวแทนของสวนครูองุ่น ในบทความนี้

จุดเริ่มต้นการแบ่งปันพื้นที่ส่วนบุคคล สู่พื้นที่ส่วนรวม

“ครูองุ่นผู้ชื่นชอบงานด้านสังคม สู่การทำเพื่อสังคม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสละยศฐาบรรดาศักดิ์ สู่สามัญชนที่ต้องการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคม ด้วยการแบ่งปันพื้นที่ส่วนบุคคลสู่ส่วนรวม” เริ่มมาจากการแบ่งสันปันส่วนพื้นที่ให้กับประชาชนตั้งแต่อดีต เนื่องจากประชาชนต้องการนำพื้นที่ส่วนนี้มาปลูกพืชผักไว้เลี้ยงชีพ ต่อมาครูองุ่นต้องการให้ทุกคนสามารถเข้ามาและได้ผลประโยชน์จากพื้นที่ตรงนี้ จึงมีการเขียนพินัยกรรมมอบพื้นที่นี้ให้เป็นพื้นที่สาธารณะและช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ “ห้ามแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนจากพื้นที่แห่งนี้  แต่ต้องใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง ที่นี่จึงเปิดกว้างให้ทุกคนได้เข้ามาใช้และได้รับประโยชน์ร่วมกัน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ “สวนครูองุ่น”

ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ “การให้” ของครูองุ่น

มูลนิธิกระจกเงา และมูลนิธิไชยวนา เป็นองค์กรพัฒนาสังคมที่เข้ามาพัฒนาสวนครูองุ่นให้สามารถอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมเมืองปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นผู้สานต่อ อุดมคติที่แท้จริงของครูองุ่นที่ต้องการทำเพื่อส่วนรวม ด้วยความร่วมมือกันของสององค์กรนี้ จึงนำไปสู่การพัฒนาในเชิงพื้นที่และองค์ความรู้จากการถอดบทเรียนของสวนครูองุ่นตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการ โดยยึดตามประเด็นหลักที่ครูองุ่นให้ความสนใจ คือ เปิดพื้นที่ที่สามารถให้เด็กเข้ามาเรียนรู้ได้ และให้ประโยชน์กับสังคม ตลอดจนพัฒนาเป็นพื้นที่สาธารณะให้ทุกคนได้เข้ามาพักผ่อน

การแลกเปลี่ยนของสวนครูองุ่นกับสังคม

นอกจากสวนครูองุ่นจะกลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้ามาเยี่ยมชม เรียนรู้ และพักผ่อนได้แล้ว ยังเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางสังคม หรือให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมในการแบ่งปันกันในสังคม โดยเปิดรับอาสาสมัครเข้ามาร่วมทำงานกับสวนครูองุ่น เพื่อช่วยสร้างสรรค์พื้นที่ และมีส่วนร่วมในการทำงานเพื่อสังคม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการระดมทุน แม้ไม่ใช่การบริจาคสิ่งของหรือทุนทรัพย์ แต่เป็นการมอบแรงกายและแรงใจให้กับการทำงานในสวนครูองุ่น เพื่อให้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับการทำงานเพื่อสังคมร่วมกับคนในสังคม

จากพื้นที่สาธารณะ สู่การขับเคลื่อนเกษตรในเมือง

จุดเปลี่ยนสำคัญของพื้นที่สวนครูองุ่นอยู่ในช่วงยุคฟองสบู่ จากการได้เจอกับมูลนิธิออกซ์แฟมไทยแลนด์ ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียว นำไปสู่ความต้องการนำแนวคิดการทำสวนเกษตรที่มีการปลูกพืชผักมาใช้ในสวนครูองุ่น เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวกินได้และเสริมสร้างการเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรในพื้นที่

ช่วงแรกสวนครูองุ่นยังเป็นมือใหม่กับคำว่า เกษตรในเมือง ขณะเดียวกันการทำงานกับสังคม ย่อมพบเจอกับผู้คนและเครือข่ายมากมาย จึงได้พบกับมุมมองการทำเกษตรในเมืองผ่านนโยบาย สวน 15 นาที ซึ่งทางสวนครูองุ่นมองว่าแนวคิดนี้น่าสนใจและอยากทำให้เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ประกอบกับการเข้ามามีบทบาทของบริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด (เมล็ดพันธุ์ตราศรแดง)  ในการเปิด work shop ให้กับเด็ก ๆ ในสวนครูองุ่น ด้วยการนำเด็ก ๆ จำนวนหนึ่งมาเข้าร่วมกิจกรรมปลูกผัก เก็บผัก และทำสลัดผัก เพื่อสร้างความเข้าใจและปลูกฝังการทำเกษตรให้กับกลุ่มเด็ก ๆ ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้ และเสริมสร้างคุณค่าทางจิตใจ ตลอดจนการจัดการไปถึงระดับครัวเรือนด้วยความร่วมมือของเด็กและผู้ปกครอง

“ความท้าทายที่เป็นข้อใหญ่ คือ หน่วยงานหรือองค์กรอื่น ๆ มองไม่เห็นภาพของการพัฒนาพื้นที่ในการผลักดันเกษตรในเมือง”

มีเสียงมากมายมาถึงสวนครูองุ่นว่า การทำเกษตรในพื้นที่เมืองเป็นสิ่งเปล่าประโยชน์ เนื่องจากบริบทส่วนใหญ่จะมองพื้นที่ในแง่ของการสร้างรายได้ หากลองมองพื้นที่นอกเหนือจากแง่มุมของการสร้างรายได้ หรือการซื้อขายในท้องตลาดเพื่อสิ่งปลูกสร้าง แต่มองว่าพื้นที่นั้นสามารถทำอะไรให้สังคมได้บ้าง และจัดการผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของสังคม รายได้ก็จะกลับคืนสู่ทั้งสังคมและพื้นที่ในภายหลัง สวนครูองุ่นจึงเป็นตัวอย่างของพื้นที่นวัตกรรมเพื่อสังคมที่เชื่อมโยงการทำเกษตรเข้ากับความเป็นเมือง ตามแนวคิด “Smart City” โดยคำว่า “Smart” ไม่ได้หมายถึงเพียงเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่สำหรับสวนครูองุ่นยังหมายถึงการทำให้เมืองมีความอัจฉริยะอย่างราบรื่น ลดความวุ่นวาย เปิดโอกาสให้คนเมืองเข้าถึงและมีส่วนร่วมในแนวคิดเมืองอัจฉริยะผ่านการทำเกษตร จึงเกิดความพยายามในการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้จากสวนครูองุ่นสู่สังคม เพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้ ทดลอง และร่วมกันออกแบบนวัตกรรมด้านเกษตรในเมือง ทำให้พื้นที่แห่งนี้เป็นมากกว่าสวนเกษตร แต่เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงธรรมชาติ เทคโนโลยี และชุมชนเข้าด้วยกัน

การมองในมุมมองของพื้นที่นวัตกรรมเพื่อสังคม ทำให้สามารถขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาของสวนครูองุ่นได้ชัดเจนว่า  ไม่ได้ให้ความสำคัญไปที่กลุ่มเป้าหมายเพียงกลุ่มเดียว แต่ยังรวมถึงประชาชนทุกคนที่สามารถเข้าถึงการใช้งานสวนครูองุ่นและได้ประโยชน์กลับไป ดังนั้น จุดยืนหลักของสวนครูองุ่น คือ การสร้างคุณค่าให้สังคม  จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งกังวลว่าสิ่งที่ทำไปนั้นจะให้อะไรกลับมา ในทางกลับกัน ต้องคิดว่าสิ่งที่จะทำตอบโจทย์กับสังคมปัจจุบันอย่างไร  จะเห็นได้ว่าสวนครูองุ่น คือพื้นที่ที่สามารถเติบโตและปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้คน โดยยึดหลักการให้และแบ่งปันมากกว่าการหาผลประโยชน์

แนวทางการขับเคลื่อนโมเดลสวนครูองุ่น

สวนครูองุ่นต้องการขับเคลื่อนโมเดลในลักษณะที่มีความยืดหยุ่น สามารถปรับโมเดลหรือกระบวนการไปตามสภาพพื้นที่ต่าง ๆ โดยการนำเอาสวนเกษตรไปกระจายอยู่ในหลาย ๆ พื้นที่เมืองเพื่อสร้างสวนกินได้ เสริมสร้างอาหารปลอดภัยให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ สวนเกษตรควรเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้บ้านของทุกคน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ใช่แค่พื้นที่ปลูกพืชผัก แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้คนมีอาหารปลอดภัยใกล้ตัว สามารถเข้ามาเรียนรู้และร่วมลงมือทำ หรือมีบทบาทเป็นผู้มีส่วนร่วมในการดูแลและใช้ประโยชน์จากสวนร่วมกัน ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค ดังนั้น สวนเกษตรจึงสามารถหลอมรวมผู้คนให้มีส่วนร่วมในการจัดการ ดูแล และพัฒนา ซึ่งจะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกัน และขยายผลต่อไปยังผู้คนและสังคม

สวนครูองุ่น เป็นพื้นที่สาธารณะที่นอกจากจะเปิดให้เยี่ยมชมแล้ว ยังสร้างคุณค่าของพื้นที่ให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ และเครือข่ายอาสาสมัครที่เข้ามาให้ความรู้ภายในสวน พื้นที่สาธารณะแห่งนี้จึงช่วยเปิดมุมมองให้กับคนในสังคมได้ตระหนักถึงคุณค่าและประโยชน์ที่ได้จากพื้นที่เกษตรในเมืองหรือพื้นที่สีเขียว รวมถึงสร้างคุณค่าทางจิตใจให้แก่ผู้เข้ามาในพื้นที่สวนครูองุ่นด้วย จะเห็นได้ชัดว่า กระบวนการหรือแผนการทำงานของสวนครูองุ่นมีการให้ความสำคัญกับอุดมคติแรกและเป้าหมายของครูองุ่น แม้ครูองุ่นจะไม่มีโอกาสได้สานต่อเจตนารมณ์ของตน แต่เราเชื่อว่า สิ่งใดที่มีประโยชน์แก่สังคมและสามารถพัฒนาต่อได้ ย่อมมีคนที่พร้อมจะช่วยสานต่อเสมอ ดังนั้น หากผู้คนในสังคมได้รับประโยชน์และเกิดความตระหนักถึงคุณค่าของการดำรงอยู่ของพื้นที่สวนครูองุ่น ย่อมมีการผลักดันให้เกิดการสานต่อและร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่นี้ในอนาคตข้างหน้า

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะด้วยแนวคิดเกษตรในเมือง: กลไกบูรณาการเชิงนโยบายเพื่อสร้างพื้นที่สุขภาวะ และพื้นที่ส่งเสริมความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารของกรุงเทพมหานคร ดำเนินการโดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC-CEUS) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


Contributor