19/11/2025
Environment
จากพื้นที่ขยะสู่พื้นที่สีเขียวของ TEI มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
The Urbanis
บทเรียนเล็ก ๆ จากแปลงเกษตรที่เติบโตไปพร้อมความสัมพันธ์ในออฟฟิศ
ในวันนี้ The Urbanis ชวนชาวเมืองมาพูดคุยกับ มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ที่ได้ปรับพื้นที่รกร้างให้กลายเป็น “แปลงเกษตรริมออฟฟิศ” ที่เต็มไปด้วยเศษวัสดุก่อสร้างและขยะที่คนแอบมาทิ้ง แต่ด้วยความตั้งใจของทีมงานที่อยากพลิกพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลายเป็นมุมสีเขียวเล็กๆ ของทุกคน พวกเขาทำอย่างไร? เผชิญกับความท้าทายอะไรบ้าง?
ความท้าทายที่เผชิญ คือ แม้จะตั้งใจดีแค่ไหน แต่ข้อจำกัดสำคัญคือ “เราไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่” จะปรับดิน ปรับระดับ หรือปรับระบบน้ำก็ทำไม่ได้มากนัก ที่ดินเดิมยังเป็นดินก่อสร้าง มีเศษปูน เศษเหล็กปะปนอยู่เต็มไปหมด ครึ่งหนึ่งแห้งแล้ง อีกครึ่งหนึ่งชุ่มน้ำเพราะเคยถูกน้ำท่วมมาหลายปี ทำให้สภาพดินค่อย ๆ ดีขึ้นเองตามธรรมชาติ
ผลผลิตจึงมีบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ช่วงแรกเห็นชัดก็มีเพียงกล้วย เพราะแข็งแรงที่สุด ส่วนผักอย่างอื่นก็ลองผิดลองโดนไปตามประสบการณ์ แต่พอถึงฤดูฝน ต้นไม้เริ่มออกดอกออกผลบ่อยขึ้น ความหวังและความสนุกก็เพิ่มตามไปด้วย
สวนผักที่ปลูก “ความสัมพันธ์” มากกว่าอาหาร
แม้ผลผลิตจะไม่ได้เยอะ แต่ทีมงานกลับพบว่ามีสิ่งหนึ่งงอกงามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือ “ความสัมพันธ์ในออฟฟิศ”
วันศุกร์กลายเป็นวันที่ทุกคนตั้งตารอ เพราะเป็นวันเวรเก็บผัก หลังเลิกงานหนึ่งชั่วโมงคือช่วงเวลาที่คนต่างแผนก ที่ปกติแทบไม่มีโอกาสได้คุยกันได้มาเจอกันในสวน ได้ช่วยกันถอนหญ้า เก็บผัก หัวเราะกันเรื่องเก็บผักผิดต้น หรือถามแม่บ้านว่าต้นนี้กินได้ไหม

สวนผักเล็ก ๆ กลายเป็นพื้นที่ผ่อนคลายของคนทำงานที่ต้องเผชิญความเครียดทั้งวัน และเป็นพื้นที่ที่ทำให้ทุกคน “รู้จักกันมากกว่าที่เคย”
ระบบเล็ก ๆ ที่เริ่มเป็นวงจรอย่างตั้งใจ
พอสวนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ทีมงานก็เริ่มมีวิธีเก็บข้อมูลและประเมินผล เช่น ชั่งน้ำหนักผักที่เก็บได้ทุกสัปดาห์ เปรียบเทียบน้ำหนักกับราคาตลาด และสะสมยอดว่าในหนึ่งปีลดค่าใช้จ่ายไปได้เท่าไหร่

ผลคือ “หลายพันบาทต่อปี” แม้จะไม่ได้มากมาย แต่ก็เป็นตัวเลขที่ทำให้ทุกคนภูมิใจได้ นอกจากนี้ยังมีการผนวกเรื่อง Green Office เข้ามา เช่น นำเศษอาหารมาทำปุ๋ยอินทรีย์ ควบคุมการใช้น้ำและไฟฟ้าให้เหมาะสม ทำให้สวนผักกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมในออฟฟิศไปด้วย
ความท้าทายที่เผชิญ
แม้ความตั้งใจจะเต็มร้อย แต่ปัญหาที่เจอซ้ำ ๆ ได้แก่
- สภาพพื้นที่ไม่เอื้อ ดินไม่ดี ท่วมง่าย ปรับไม่ได้เพราะไม่ใช่พื้นที่ขององค์กร
- ขาดความรู้ด้านเกษตรในเมือง แม้จะไปดูงานมาหลายที่ แต่ยังไม่ค่อยได้อบรมแบบจริงจัง
- เวลาของทีมงานไม่ลงกัน งานเยอะ เวลาว่างไม่ตรงกัน ทำให้การดูแลต่อเนื่องบางช่วงสะดุด
แต่ทุกปัญหาก็ช่วยให้สามารถวางแผนได้ดีขึ้น เช่น การแบ่งโซนตามระบบนิเวศ การกำหนดแปลงยก การเลือกชนิดผักให้เหมาะกับพื้นที่ชุ่มน้ำหรือแดดจัด รวมถึงตั้งเป้าชั่งขยะอินทรีย์เพื่อนำมาคิดคาร์บอนที่ลดลงในปีหน้า
แผนใน 3–5 ปี: สวนที่ “โตได้” และให้พนักงานเป็นเจ้าของ
เป้าหมายระยะกลางคือ
- ยกระดับแปลงผักให้ดูแลง่ายขึ้น
- ปรับดินใหม่หรือทำแปลงยก
- ตั้งโซนตามระบบนิเวศอย่างชัดเจน
- ให้พนักงานแต่ละชั้นมีแปลงเล็ก ๆ ของตัวเอง
- ทำกิจกรรมประกวดผลผลิตประจำปี
- เก็บสถิติด้านขยะอินทรีย์และคาร์บอนลดลงให้ครบวงจร
มุมมองต่อการขยายผล “เกษตรในเมือง” ไปสู่ระดับนโยบาย
เมื่อถามถึงแนวคิดการขยายพื้นที่แบบนี้ไปยังเมืองอื่น ๆ หรือเชื่อมกับนโยบายสวน 15 นาที คำตอบคือ
“ถ้ามีสวนสาธารณะแล้วแทรกสวนผักเข้าไปได้ก็ดีมาก แต่ต้องแบ่งโซนให้ชัด เพราะวัตถุประสงค์คนละแบบกัน”
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่พื้นที่หรือเมล็ดพันธุ์ แต่คือ “คน” และ “การสื่อสาร” หากมีนโยบายแต่ไม่มีคนลงมือทำจริง ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนหรือองค์กรนี่เองที่เป็นหัวใจของความสำเร็จ

สวนผักที่ปลูกความสุขมากกว่าปลูกผัก

2 ปีที่ผ่านมา (ปี2563) ของแปลงเล็ก ๆ นี้ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การทำเกษตรในเมืองไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ดีที่สุด อุปกรณ์พร้อมที่สุด หรือความรู้ครบที่สุด แค่มี “คนลงมือทำร่วมกัน” ก็เพียงพอให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
สวนผักแห่งนี้ไม่ใช่แค่พื้นที่สีเขียว แต่เป็นพื้นที่ความสัมพันธ์ร่วมงาน พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ และพื้นที่ที่คนในองค์กรได้รู้จักกันมากกว่าที่เคย
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะด้วยแนวคิดเกษตรในเมือง: กลไกบูรณาการเชิงนโยบายเพื่อสร้างพื้นที่สุขภาวะ และพื้นที่ส่งเสริมความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารของกรุงเทพมหานคร ดำเนินการโดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC-CEUS) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)