เมือง



ชุมชนแออัดแห่งยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ประวัติศาสตร์เมืองบนภาพแกะสลักไม้

05/10/2021

โลกของเราได้เข้าสู่ช่วงแห่งเวลาใหม่ภายหลังเหตุการณ์การปฏิวัติครั้งใหญ่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 คือ ช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ถูกถ่ายทอดลงมาในภาพวาด ณ สมัยนั้น ทำให้เราเห็นสามารถเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสิ่ง ๆ ต่างได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น  เมืองก็เป็นอีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม อย่างที่เรารู้กันอยู่เสมอว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นทำให้มีผู้คนจำนวนมากจากทุกสารทิศแห่กันเข้ามาในเมืองเพื่อทำงาน ประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เห็นได้จากยุโรปในช่วง ค.ศ. 1890 ที่สัดส่วนของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 60 โดยทั้งจำนวนประชากรและโรงงานอุตสาหกรรมที่มาก สถาพสังคมเมืองในสมัยนั้นจึงมีด้านมืดอยู่หลายอย่าง ๆ ด้านมืดเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านภาพวาดในหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งในบทความนี้จะแสดงถึงภาพวาดที่บอกเล่าด้านมืดทางสังคมอย่างชุมชนแออัดที่เกิดขึ้น เนื่องจากความหนาแน่นที่สูงของประชากรในเมือง อย่างที่เรารู้กันว่ามีผู้คนจำนวนมาอพยพเข้ามาในเมืองช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ผู้คนที่อพยพเข้ามาเหล่านี้ส่วนมากก็คือ แรงงานที่เข้ามาเพื่อทำงาน พวกเขาไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายพอจะสร้างที่อยู่อาศัยที่ดีได้ ประกอบกับอาชีพแรงงานที่ต้องทำงานตลอดเวลา พวกเขาจึงต้องไปอาศัยอยู่รวมกันใกล้โรงงานอุตสาหกรรมบริเวณใจกลางเมือง จนเกิดเป็นชุมชนแออัดกลางเมืองขึ้น  ในพื้นที่ชุมชนแออัด บ้านถูกก่อสร้างในลักษณะหันหลังชนกัน (back-to-back houses) ยาวเป็นแถว แต่ละแถวคั่นด้วยซอยแคบ ด้วยความที่มีผู้คนอาศัยกันอย่างหนาแน่น ทำให้สภาพพื้นที่เต็มไปด้วยความสกปรก ความแออัด เช่น เช่น ณ กรุงปารีส แรงงานประมาณ 30,000 คนต้องอาศัยในห้องเช่าที่มีขนาดเล็ก […]

ทำไมเมืองเดินได้ถึงทำให้เศรษฐกิจดี

14/10/2020

เมืองคือพื้นที่แห่งโอกาสที่คนจำนวนมากเข้ามาแสวงหาโชค กระโจนเข้ามาแหวกว่ายในสายพานการทำงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเองและคนที่อยู่ด้านหลังให้ดีขึ้น และเมื่อคนหนาแน่นก็มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นมากมาย โครงสร้างของเมือง ผังเมืองจึงส่งผลอีกหลากมิติต่อเศรษฐกิจและปัจจัยอื่นๆ ในการดำรงชีวิต ผศ.ดร นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมืองได้ร่วมสะท้อนมุมมองในงาน BOT SYMPOSIUM 2020 ในหัวข้อใหญ่ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง – Restructuring the Thai Economy ในงานวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา โดยผศ.ดร. นิรมล เสนอว่าการเดินดีในเมืองนอกจากจะกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต แล้วยังกระตุ้นเศรษฐกิจให้ไหลเวียนด้วย ยิ่งกับชุมชนและย่านโดยรอบ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แถมยังทำให้ “ร้านค้ารายเล็กรายน้อยสามารถเข้าถึงโอกาสแห่งความมั่งคั่งพอๆ กับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่” “ร้านค้ารายเล็กรายน้อยสามารถเข้าถึงโอกาสแห่งความมั่งคั่งพอๆ กับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่” เพราะเมืองเดินได้ถึงทำให้เศรษฐกิจดี “งานวิจัยหลายชิ้นบอกว่ายิ่งเคลื่อนที่ช้า ยิ่งมีโอกาสในการบริโภคมาก ลองหลับตาจินตนาการถึงความเร็วของการเดินของคนด้วยความเร็ว 3-5 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นคือการเดินกับเมืองที่คนเคลื่อนที่ 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นคือรถยนต์ โอกาสในการที่จะแวะพัก ความสะดวกที่จะหยุดจับจ่ายใช้สอยมันแตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้นท่านจะเห็นว่าเมืองทั่วโลกลงทุน (invest, reinvest) กับทางเท้า เพื่อให้เกิดความมั่งคั่งโดยเฉพาะพื้นที่ใจกลางเมือง หรือว่าเป็นเมืองแบบนี้ที่ต่อแรก (first mile) […]

กรุงเทพฯ เมืองเวนิสแห่งตะวันออก กับการสัญจรทางน้ำที่กำลังจะหายไป

06/10/2020

หลายคนคงเคยได้ยินว่า ในอดีตกรุงเทพฯ เคยมีชื่อเล่นเก๋ๆ เป็น ‘เวนิสแห่งตะวันออก’ เนื่องจากมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านกลางเมือง ทั้งยังมีลำน้ำคูคลองแตกแขนงจำนวนมากที่เชื่อมถึงกันทั้งหมด นำมาซึ่งการสัญจรทางน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคมหลัก คนกรุงเทพฯ จึงผูกพันกับสายน้ำมาอย่างยาวนาน ทว่าปัจจุบันเหล่าคูคลองเหล่านั้นกลับถูกลดบทบาทลง โดยมีตัวละครใหม่อย่าง ‘ถนน’ เข้ามาช่วงชิงความสำคัญแทน คลองจึงค่อยๆ ลดความสำคัญ และค่อยๆ หายไปจากชีวิตประจำวันของเรา ย้อนกลับไปดูในเชิงประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อนจะมีกรุงเทพมหานคร บริเวณนี้เป็นเพียงสถานีการค้าขนาดเล็กที่อยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยแม่น้ำลำคลองเป็นตัวเลือกหลักในการใช้ และขยายเครือข่ายการขนส่ง เราพบว่า ช่วงปีพ.ศ. 2065 – 2179 มีการขุดคลองลัดจากบางกอกน้อย – บางกอกใหญ่ บางกรวยจากวัดชะลอถึงวัดขี้เหล็กบางกอกน้อย และปากคลองแม่น้ำอ้อมถึงวัดเขมา เป็นการเปิดเส้นทางสัญจรใหม่ๆ เพื่อย่นระยะเวลาการเดินทางสู่อยุธยาโดยตรง แม่น้ำลำคลองจึงเป็นแหล่งที่มาของอุปโภค และบริโภค และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และประเพณีริมน้ำภาคกลางต่างๆ เช่น ตักบาตร, ลอยกระทง หรือทอดกฐินทางน้ำ ฯลฯ เรียกได้ว่า เป็นเนื้อเดียวกับชีวิตประจำวันของคนกรุง และมีบทบาทสนับสนุนเจริญงอกงามของสังคมเป็นอย่างยิ่ง มีหลายสมมติฐานว่าชื่อ ‘บางกอก’(Bangkok) มีที่มาหลายอย่าง เช่น ‘กอก’ ที่มาจากต้นมะกอกที่ปลูกมากในบริเวณนี้ หรือ ‘เกาะ’ อันหมายถึงพื้นที่ที่ล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำ และลำคลองจนเป็นเกาะ เพราะแต่เดิมกรุงเทพในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โครงข่ายคลองมีลักษณะเป็นใยแมงมุม และมีจำนวนมากกว่า 1,200 คลอง แสดงให้เห็นว่ากรุงเทพฯ มีคลองอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงการขยายตัวของชุมชนทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา(ธนบุรีและพระนคร) จำนวนคลองที่เชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำต่างๆ ก็เพิ่มขึ้น หากมองเฉพาะบริเวณฝั่งธนบุรีไม่เพียงแต่คลองธรรมชาติจำนวนมาก แต่ยังนิยมขุดคลองเพื่อใช้ประโยชน์ทางเกษตรกรรม สังเกตได้ว่าบ้านสวนฝั่งธนจะมีท้องร่อง คลองหลัก และคลองซอยบริเวณรอบบ้านเสมอ ซึ่งคลองขุดหลายๆ สายยังเชื่อมต่อไปยังต่างจังหวัดอีกด้วย สามารถประยุกต์ใช้เป็นการขนส่งแบบพื้นบ้าน (Traditional Logistic) ได้อีกต่อหนึ่ง เป็นเส้นทางขนส่งสำคัญช่วงที่น้ำตาลและข้าวเป็นสินค้าส่งออกหลัก ปัจจุบันฝั่งธนบุรีจึงเป็นฝั่งที่มีคลองมากที่สุดในกรุงเทพฯ โดยบางส่วนยังเป็นเส้นทางสัญจรแบบดั้งเดิม หรือทำการอนุรักษ์ไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทตลาดน้ำและชุมชนริมคลอง […]

คุยกับศศิน เฉลิมลาภ: จากเมืองถึงป่า จากป่าถึงเมือง

09/09/2020

ในช่วงให้หลังมาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ผู้คนตื่นตัว ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากภัยพิบัติและผลกระทบที่เห็นเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ภัยแล้ง น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ซึ่งล้วนสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของคนทั่วโลก มาวันนี้หลากหลายองค์กรทำงานเพื่อรณรงค์สิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ทั้งการรณรงค์เรื่องการกำจัดขยะให้ถูกต้อง การหันมาใส่เสื้อผ้าแบบยั่งยืนที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ ยังมีอีกองค์กรที่ทำงานเพื่ออนุรักษ์พื้นที่ป่าและสัตว์น้อยใหญ่ด้วยหัวใจมาอย่างยาวนาน อย่างมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร เพิ่งครบรอบการก่อตั้งมูลนิธิสืบฯ 30 ปี เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา The Urbanis พูดคุยกับศศิน เฉลิมลาภ  ประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียรคนปัจจุบันถึงเรื่องป่ากับเมือง และความท้าท้ายของมูลนิธิในการทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำไมถึงสนใจเรื่องป่า ทั้งที่ตัวเองก็ใช้ชีวิตในเมือง ก็เพราะมันไม่มีป่าไง เราเรียนหนังสือในเมือง เด็กๆ ผมเกิดกลางทุ่งนา มีแม่น้ำ มีทุ่ง แล้วก็ไม่เคยเห็นป่า ป่าเป็นเรื่องไกลๆ เรื่องลึกลับ เรื่องบนภูเขา ผมอยู่บนที่ราบภาคกลางแล้วก็รู้สึกว่ามันต้องมีหุบเขา มันต้องมีทะเล มันถึงจะเป็นที่ไกลๆ บ้าน ที่ๆ เราไม่รู้ ไอ้ความไม่รู้เนี่ยแหละถึงทำให้เราอยากเรียนรู้ อยากสัมผัส พอไปเรียนรู้ถึงรู้ว่ามันสำคัญนี่นา ก็ไปเรื่อยๆ ความรู้สึกอยากเรียนรู้แบบนี้เริ่มต้นเมื่อไหร่ มันบอกไม่ถูกว่าเริ่มเมื่อไหร่ เริ่มเมื่อวันที่เราเริ่มมีความรู้ อย่างเช่นก่อนอายุ 20 ที่มันเริ่มมีกระแสสิ่งแวดล้อมเข้ามา มีการเรียนรู้ว่าป่ามันมีคุณค่ายังไง มีรุ่นพี่ๆ เขาประท้วงเขื่อนน้ำโจนก็จะมีข้อมูลมา […]

ต่อจิกซอว์หาคำตอบเรื่องสถาปนิก เมือง และการสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม กับคุณณัฐพงษ์ จารุวรรณพงศ์

08/09/2020

บางช่วงบางตอนของชีวิตคนเราคงคล้ายกับบทละครที่โลดแล่น หลายคนพยายามหาคำตอบบางอย่างในชีวิต เหมือนอย่างคุณณัฐพงษ์ จารุวรรณพงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์การออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง โดยเกริ่นไว้ตอนเริ่มต้นของบทสนทนาว่า “สารภาพว่าตอนเรียนจบไม่ได้รู้เรื่องที่ตอนนี้รู้ ก็ค่อยๆ ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ ผมก็ลองผิดมากกว่าลองถูก” “สารภาพว่าตอนเรียนจบไม่ได้รู้เรื่องที่ตอนนี้รู้ ก็ค่อยๆ ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ ผมก็ลองผิดมากกว่าลองถูก” คุณณัฐพงษ์ จารุวรรณพงศ์ ผ่านทั้งบทบาทการเป็นบัณฑิตจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาปนิกไฟแรงในช่วงเริ่มต้นของวัยทำงาน การไปเรียนต่อการวางผังเมืองเชิงนิเวศ (urban ecological planning) ที่ประเทศนอร์เวย์ และกลับมาหยิบจับงานอีกหลากหลายด้านกระทั่งมีบทบาทในการผลักดันพรบ. ส่งเสริมวิสาหกิจแห่งชาติในปีพ.ศ. 2562 จนมาถึงปัจจุบันในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์การออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การทำงานหลากหลายวงการที่ผ่านมาเป็นดั่งเส้นทางที่ช่วยให้เขาต่อจิ๊กซอว์ค้นหาคำตอบว่าการทำงานสถาปนิกจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไร? องค์ที่ 1 สถาปนิก เมือง และการสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม ความสามารถในการออกแบบ + PERSPECTIVE + ลูกค้าดีมีวิสัยทัศน์ = การเปลี่ยนแปลงทางสังคม คือสมการที่คุณณัฐพงษ์เชื่อมั่นในตอนแรกว่าจะเป็นคำตอบของสิ่งที่เขาตามหา “เริ่มต้นชีวิตด้วยสถาปนิก ผมเหมือนกับทุกคนเลยผมก็เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมก็คือใช้ความรู้ที่เราเรียนมา ตอนจบผมก็พุ่งเข้าไปสู่บริษัทใหญ่อยากทำโปรเจกต์ใหญ่ ตอนผมจบมีโครงการ Bangkok Terminal Project (1997) ตรงหมอชิตเก่า ตอนนั้นเศรษฐกิจมันบูมมาก ผมได้ทำทุกอย่างที่อยากทำในขณะที่เพิ่งจบปริญญาตรี […]

เมือง เปลี่ยน ย่าน ? ย่านจะอยู่อย่างไร เมื่อคนรอบข้างเปลี่ยนไป : ชวนพูดคุยกับ ธีรนันท์ ช่วงพิชิต

01/09/2020

ในยุคสมัยที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับมนุษย์มากขึ้น เป็นเหมือนหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการขยายตัวของเมือง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเดินทาง การติดต่อสื่อสารและการอยู่อาศัย แต่ในขณะเดียวกันตัวแปรสำคัญนี้ก็ได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้เปลี่ยนไปจากเดิม จากชุมชนเล็กๆ กลายมาเป็นชุมชนเมืองขนาดใหญ่ ลองตั้งคำถามดูว่าย่านชุมชนเก่าแก่ จะสามารถรักษามรดกวัฒนธรรมไปพร้อมๆ กับการยกระดับย่านได้หรือไม่ และจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกกลืนกิน วันนี้จะชวนพูดคุยกับ คุณธีรนันท์ ช่วงพิชิต ผู้ก่อตั้งศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนธนบุรีและประธานมูลนิธิประชาคมย่านกะดีจีน-คลองสาน หนึ่งในผู้ผลักดันเพื่อการพัฒนาย่านควบคู่ไปกับรักษามรดกวัฒนธรรมของชุมชนเก่าแก่ใน กรุงเทพมหานคร คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับความแตกต่างระหว่างกรุงเทพฝั่งพระนครกับกรุงเทพฝั่งธนฯ ในแง่ของ วิถีชีวิต เศรษฐกิจ ตึกรามบ้านช่อง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ “เบื้องต้นต้องทำความเข้าใจบริบททางสังคมศาสตร์ให้ได้ก่อนว่าไม่ใช่ฝั่งธนฯ คือฝั่งตะวันตก พระนครคือฝั่งตะวันออก อันนี้เราเข้าใจผิดทันที ประวัติศาสตร์จริงๆ คือ สังคมกับวัฒนธรรมทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นวัฒนธรรมชุดเดียวกัน แต่ช่วงระยะเวลามันจะเหลื่อมกันประมาณ 15 ปี ในช่วงของ พ.ศ.2310-2325 เป็นเวลาของกรุงธนบุรี แต่ในขณะเดียวกันเวลาของกรุงรัตนโกสินทร์ หรือที่เราเรียกกันว่าบางกอกก็คือ ปี 2325 จนถึงแง่ใดแง่หนึ่งมันจะเป็นการใช้พื้นที่ที่ทับซ้อนกันอยู่ “ธนบุรีเป็นเมืองทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เราเรียกว่าเมืองอกแตก จึงไม่ใช่เมืองฝั่งตะวันตก ถ้าเรียกว่าเมืองอกแตกแล้วเรียกฝั่งธนฯ เป็นฝั่งตะวันตกแสดงว่าผิด เพราะมันคือทั้งสองฝั่ง กรุงเทพฯ คือเมืองที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกภายหลัง ฉะนั้นการใช้ประวัติศาสตร์ลักษณะนี้จะทำให้เราเข้าใจถึงเรื่องของมิติทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เราเข้าใจตัวตนเรามากขึ้นว่าเป็นเมืองที่มีทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา” ในแง่ของวิถีชีวิต การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดจากการชะลอประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ที่เกิดจากความเจริญทางกายภาพที่เข้ามาไม่ถึงในช่วง […]

ทรงจำในย่านกะดีจีน-คลองสานของวีรพร นิติประภา

25/08/2020

ผมสีดอกเดา ชุดดำ และปากแดง เอกลักษณ์ของวีรพร นิติประภา นักเขียนหญิงดับเบิ้ลซีไรต์ จากนิยาย ‘ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต’ ในปีพ.ศ. 2558 และเรื่อง ‘พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ’ ในปีพ.ศ. 2561 ในผลงานเรื่องหลังเธอบอกเล่าเรื่องราวของชาวจีนโพ้นทะเลบนแผ่นดินสยามที่ต้องดิ้นรน ขยับขยายสถานะผ่านความไม่แน่นอนทั้งทางการเมือง และวัฒนธรรม ซึ่งกว่าจะทำคลอดผลงานชิ้นนี้ เธอเดินย่ำพื้นที่ชุมชนย่านเก่าที่มีประวัติอันยาวนานจนผูกพันและนำไปสู่บทบาทการเป็นที่ปรึกษาฝ่ายศิลปวัฒนธรรมให้กับเทศกาลศิลป์ในซอยครั้งที่ 6 ‘กะดีจีน-คลองสาน ย่านรมณีย์ วิถีเจ้าพระยาในพยับแสง-สี-ศิลป์’ หนึ่งในโปรเจ็กต์ที่ช่วยอนุรักษ์และคืนชีวิตชีวาแก่ชุมชน แสงแดดเริ่มแยงตา เวลาเริ่มสาย เธอใช้เวลาวันอังคารวันหนึ่งในการบอกเล่า“ความงดงามของย่านกะดีจีนคลองสาน” ที่เคยพานพบ ในห้องเรียนวิชาสตูดิโอวางผังชุมชน (NEIGHBORHOOD PLANNING STUDIO) ของนิสิตชั้นปีที่ 4 ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนี่คือ ทรงจำในย่านกะดีจีน-คลองสานของวีรพร นิติประภา เมืองฉากหลังของนิยายสำคัญกับเนื้อเรื่องอย่างไร “เวลาเราเขียนนิยายเราไม่ได้ทำอะไร เราแค่ visualize คอนเซปต์ขึ้นมา เพราฉะนั้นพี่ถึงบอกว่าเราต้องมาเดินตามย่าน ตอนที่ทำเรื่องไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตก็ต้องไปที่แม่น้ำนครชัยศรี ตอนที่มาย่าน มาเพื่อที่เราจะ shape ตัวละครมากกว่า ถ้าคุณไม่ไปเดินคุณจะนึกไม่ออกเลยว่าเขาอยู่กันยังไง ห้าโมงเย็นบานเฟี้ยมไล่ปิด อันนี้คือซีนที่อยู่ในหนังสือ เรามีความรู้สึกว่าทุกอย่างมันสงบลง สี่ห้าโมงเย็นร้านใครร้านมันปิด ละแวกก็จะเงียบ ก็จะมีเด็กวิ่งเล่นนิดหน่อย เราก็ต้องจินตนาการเอา […]

“การศึกษาต้องช่วยยกระดับเมือง” พูดคุยกับ ผศ.คมกริช ธนะเพทย์ ว่าด้วยการศึกษา ความเหลื่อมล้ำ และแนวคิดการศึกษาละแวกย่าน

07/08/2020

โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตเมืองของผู้คนอย่างพร้อมหน้าในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเดินทาง การจับจ่าย ฯลฯ ดังที่หลายคนกำลังปรับตัวสภาวะดังกล่าวอยู่เสมอ นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรค หากประเด็นที่สำคัญไม่แพ้เรื่องใด เหตุเพราะเกี่ยวข้องกับประชากรเมืองนับพันล้านคนทั่วโลกคือเรื่อง การศึกษา ข้อมูลจาก UNESCO ระบุว่า ในช่วงการระบาดอย่างรุนแรงประมาณเดือนเมษายน 2563 มีผู้เรียนในระดับอนุบาล ประถม มัธยม และอุดมศึกษาเกือบ 1,300 ล้านคน จากเกือบ 186 ประเทศทั่วโลก หรือคิดเป็นผู้เรียนกว่า 73.8 % ได้รับผลกระทบจากการปิดการเรียนการสอนในระบบ เฉพาะในประเทศไทยเองมีนักเรียนได้รับผลกระทบกว่า 15 ล้านคน โดยกลุ่มใหญ่ที่สุดเป็นนักเรียนมัธยมและนักเรียนประถม ตามลำดับ นักเรียนประถมและมัธยมถือเป็นผู้เรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับ ที่ต้องปรับรูปแบบการเรียนตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ เรียกได้ว่าเป็น “หนู” ในกระบวนการทดลองอันแสนท้าทาย ด้วยการเรียนออนไลน์และเคเบิลทีวี สลับกับการเข้าเรียนในห้องโดยผลัดกันเป็นกลุ่ม ไม่หยุดวันเสาร์ งดกิจกรรมทางกายที่ต้องปฏิบัติในระยะประชิด ฯลฯ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปรับตัวดังกล่าวได้ก่อให้เกิดปัญหาในหลายพื้นที่ ดังที่ปรากฏในข่าวแม้จะเปิดเทอมมาแล้วหลายสัปดาห์  The Urbanis พูดคุยกับ ผศ.คมกริช ธนะเพทย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานหลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต […]

เพราะแฟชั่นสัมพันธ์กับเมือง : คุยกับ ‘อุ้ง-กมลนาถ องค์วรรณดี’ ถึงมิติหลากหลายของเมืองและแฟชั่นที่ยั่งยืน

06/08/2020

เสื้อผ้าคือหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มนุษย์เราขาดไม่ได้ และสำหรับบางคนเสื้อผ้าไม่ใช่แค่เพียงเครื่องนุ่งห่มเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้แสดงออกซึ่งตัวตน เอกลักษณ์บางอย่าง รวมถึงจุดยืนทางสังคมและการเมือง ดังนั้น ‘แฟชั่น’ จึงเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวพวกเราทุกคน ซึ่งไม่ต่างอะไรจาก ‘ความเป็นเมือง’ เลย เพราะมนุษย์เราต่างมีปฏิสัมพันธ์กับเมืองตลอดเวลา ความสัมพันธ์ของ ‘คน’ ‘แฟชั่น’ และ ‘เมือง’ จึงเกี่ยวโยงกันไปโดยปริยาย หลายครั้งที่เมืองและแฟชั่นส่งผลซึ่งและกัน และกระทบไปยังผู้คน โดยที่เราอาจจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก เราจึงชวน ‘อุ้ง-กมลนาถ องค์วรรณดี’ ที่ปัจจุบันทำงานร่วมกับกลุ่ม “Fashion Revolution Thailand” ซึ่งเป็นเครือข่ายเคลื่อนไหวเพื่อแฟชั่นที่เป็นธรรมและยั่งยืน ซึ่งมีมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก มาพูดคุยถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ‘เมือง’ กับ ‘แฟชั่น’ และด้วยความที่อุ้งทำงานเกี่ยวกับแฟชั่นยั่งยืน หรือ Sustainable Fashion เราจึงถือโอกาสพูดคุยเรื่องนี้ไปด้วย เพราะอีกเทรนด์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น Mega Trend ที่ส่งผลไปยังทุกบริบทของสังคมโลกคือเรื่อง Sustainability หรือความยั่งยืนนั่นเอง คนเมืองต่างหันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และแน่นอนว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นเองด้วยเช่นกัน เมื่อได้ยินคำว่า Sustainable Fashion สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่ (รวมถึงตัวเราเองด้วย) มักจะนึกถึงคือเรื่อง ‘การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม’ แต่อุ้งบอกกับเราว่าจริงๆ แล้ว ความยั่งยืนหรือ […]

เมืองเล็กๆ ตรงเส้นรอยจูบของสายน้ำ

21/07/2020

การที่อุบลฯ ตั้งอยู่ตะวันออกสุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งยังเป็นตำบลที่ตั้งของเส้นเวลาหลักของประเทศที่เส้นแวง 105 องศาตะวันออก จึงทำให้นอกจากเห็นพระอาทิตย์ก่อนใครแล้วพระอาทิตย์และพระจันทร์แรกขึ้นที่นี่ยังเห็นขนาดใหญ่กว่าที่อื่น และจุดที่ใกล้เส้นเวลานั้นมากที่สุดได้ซ่อนเมืองเล็กๆ ที่สวยงามแห่งหนึ่งไว้ 1 ออกจากอุบลราชธานีมุ่งไปทางตะวันออกจนสุดเขตแดนประเทศซึ่งมีแม่น้ำโขงไหลพาดผ่านจากทิศเหนือลงใต้คล้ายทางช้างเผือกบนแผ่นดิน โขงเจียมเมืองเล็กๆ แห่งนั้นวางตัวเองเงียบๆ ตรงจุดรอยต่อของแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูลที่ไหลมาจากทางตะวันตก เส้นทางจากพิบูลมังสาหารมาสู่โขงเจียมนั้นตีคู่ขนานมากับแม่น้ำมูลและมีลักษณะเป็นเนินเขาหินทรายสลับกับร่องน้ำสาขาแม่น้ำมูลซึ่งเป็นพื้นดินที่เพาะปลูกได้ ทุ่งข้าวที่อยู่ระหว่างคลื่นหุบและเนินเหล่านี้จึงต่างระดับถือเป็นทุ่งนาที่สวยมากแห่งหนึ่ง ประมาณกิโลเมตรที่ 70 จากอุบลฯ หรือ 30 จากพิบูลฯ จะมาถึงจุดสูงสุดของเนินเขาฝั่งไทยที่ตั้งวัดถ้ำคูหาสวรรค์ซึ่งถือเป็นยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ จุดชมวิวตรงโค้งนี้เองจะเห็นเทือกเขาในแดนลาวด้านทิศตะวันออกขึงทอดยาวจากเหนือลงใต้เบื้องล่างนั้นคือแม่น้ำโขง – สายน้ำแห่งชีวิตของมวลมนุษยชาติที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกซึ่งขนาบข้างด้านทิศเหนือของโขงเจียมไว้ส่วนด้านทิศใต้ก็ติดแม่น้ำมูล  และจุดนี้เองที่เราจะเห็นการบรรจบกันของสายน้ำสองสายมูลกับโขง บางฤดูที่น้ำหลากไหลแรงเราจะเห็นเส้นรอยต่อของแม่น้ำทั้งสอง แต่ถ้าอยากเห็นให้ชัดเจนขึ้น เราต้องเลี้ยวขวาจากถนนหลักเส้นนี้ลงไปข้างล่าง รอยจูบของแม่น้ำทั้งสองจะปรากฏต่อหน้าและสามารถลงเรือไปเอื้อมสัมผัสได้   เมืองโขงเจียมอยู่บนเส้นรอยจูบนี้เอง แทรกไว้ตรงนี้ก็ได้ว่า ประมาณ 1-2 กิโลเมตรก่อนที่จะถึงโค้งที่เราจะลอบยลเส้นรอยจูบที่ว่านั้นเราจะผ่านดงป่าไม้สูงใหญ่ขนาบสองข้างถนน ในฤดูใบไม้สดเขียว แสงแดดจะผ่านลงมาได้เพียงแต่น้อย แต่พอเข้าสู่ฤดูที่ใบไม้ร่วง  ถนนช่วงนี้จะถูกปูทับด้วยใบไม้แห้ง และปลิวกระจายออกตามแรงรถที่ขับผ่าน คล้ายดั่งประตูลึกลับก่อนเข้าสู่ดินแดนที่งดงาม ถ้าเรายืนอยู่ในจุดสูงสุดของเนินตรงโค้งนั้นในคืนข้างขึ้นดวงจันทร์จะลอยตัวขึ้นตรงช่องเขาที่แม่น้ำโขงไหลวกเข้าสู่แดนลาวภายหลังบรรจบกับแม่น้ำมูล รอยจูบของสายน้ำทั้งสองระริกไหวอยู่ภายใต้พระจันทร์ดวงนั้นและระยิบระยับสะท้อนแสงจันทร์ ซูมภาพให้ใกล้เข้ามาด้วยการลงไปยืนอยู่ตรงแหลมในตัวเมืองที่ยื่นลงไปตรงจุดบรรจบของสองสายน้ำ ภาพแผ่นน้ำตรงเส้นรอยจูบปรากฏชัดพร้อมกับเสียงน้ำไหลกระทบเกาะแก่งหินและต้นไม้กลางแม่น้ำ โขงเจียมเป็นเมืองที่หลับใหลค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะโซนเรียบริมโขง และถ้าเราเดินย้อนกลับมาในทิศทางตรงกันข้ามในความเงียบภายหลังความหลับนั้น เดินไปตามถนนสายเล็กๆ กลางชุมชนเลียบแม่น้ำโขงที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวปลาหรือหน้าบ้านพักสีแบ เพียงแต่เราแหงนมองไปข้างบนฝั่งตะวันตก เราจะรู้สึกเหมือนว่าเดินอยู่ในเมืองบาดาล แสงไฟจากเจดีย์ของวัดถ้ำคูหาสวรรค์ที่อยู่บนยอดเนินและแสงไฟถนนเส้นไปโพธิ์ไทร ศรีเมืองใหม่ เหมือนแสงไฟเหนือผิวน้ำ ถนนสายที่ตรงไปอำเภอโพธิ์ไทร ยกตัวสูงขึ้นจากตัวเมืองโขงเจียมทอดยาวขึ้นลงตามคลื่นเนินเขา ผ่านผาแต้ม ผาชะนะได ภูสมุย สามพันโบก ยาวไปถึงอำเภอเขมราฐ ต่อไปมุกดาหาร นครพนม บ้านแพง หนองคายได้ ถือเป็นเส้นทางคู่ขนานทวนแม่น้ำโขงขึ้นไปทางเหนือ ทางทิศใต้ของเมือง ใกล้ๆ กับตลาด มีสะพานข้ามแม่น้ำมูล (สิบกว่าปีที่แล้วไม่มีสะพาน  ข้ามฟากต้องใช้เรือขนานยนต์) ถนนเส้นนั้นตัดตรงไปอำเภอสิรินธรและด่านช่องเม็ก-วังเต่า เข้าสู่ลาวใต้ ปากเซ จำปาสัก ถนนยกตัวสูงขึ้นตามลำดับของเนินเขาหินปูน และขึ้นลงเนินเล็กใหญ่สลับกันไป ต้นไม้บนเนินเขามีฟอร์มโดดเด่นพิเศษ ในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นถนนสายที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่ง จากสภาพแวดล้อมแบบนี้เองทำให้โขงเจียมกลายเป็นการสร้างสรรค์ที่เหมาะเจาะลงตัวของธรรมชาติ เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในจุดที่สวยมาก อีกทั้งภูมิทัศน์ทุกๆ ทิศที่แวดล้อมและนำเรามาสู่หรือออกไปจากโขงเจียมในรัศมี 50 กิโลเมตรยังขับเน้นความงามของเมืองเล็กๆ ในเส้นรอยจูบของแม่น้ำนี้ให้เปล่งประกายขึ้นและยังมีสีสันที่ชัดเจนในแต่ละฤดูให้อารมณ์ไม่ซ้ำกัน ฟังแบบนี้แล้วเหมือนว่าโขงเจียมเป็นเมืองในฝัน ซึ่งก็ใช่อย่างนั้นจริงๆ อย่างน้อยครั้งหนึ่งมันเคยเป็นแบบนั้น 2 ถ้าโขงเจียมโตช้ากว่านี้สัก 30 ปีจะดีที่สุด หลักไมล์ของการเปลี่ยนแปลงนั้นมาพร้อมกับปีการท่องเที่ยวไทย (2530) และเขื่อนปากมูล รูปลักษณ์ของเมืองเล็กๆ บนเส้นรอยจูบของสายน้ำแห่งนี้ถูกดึงให้ยึดโยงกับสองสิ่งนี้ ซึ่งเป็นการพัฒนาตามรูปแบบและรสนิยมกระแสหลักที่ถูกกำหนดโดยศูนย์กลางอำนาจรัฐในขณะนั้น ถ้ามองโขงเจียมอย่างเข้าใจ ความเปลี่ยนแปลงของเมืองเล็กๆ ที่สวยงามแห่งนี้มันก็มีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตขึ้นในยุคข่าวสารข้อมูลยังไม่กระจายตัวข้ามโลกแบบทุกวันนี้ ทำให้โขงเจียมต้องเป็นฝ่ายรับแต่ทางเดียว  และเป็นการรับจากนโยบายส่วนกลางเท่านั้น ไม่มีการทำประชามติ ประชาชนในพื้นที่ไม่มีสิทธิ์เลือกแนวทางที่ตัวเองต้องการหรือแนวทางที่ทันสมัยแต่เข้ากับหน้าตาและตัวตนของตัวเอง เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด ผมจะชี้ให้เห็นถนนสี่สายหรือโซนสี่โซนของโขงเจียม หนึ่ง – ถนนในชุมชนค้าขายปลา  ไม่ได้ติดตลิ่งโขงเสียทีเดียว เพราะขนาบข้างด้วยบ้านเรือนไม้ วัด และหน่วยทหารนปข. […]

1 2 3