15/02/2022
Mobility

กรุงเทพฯ เมือง(อุบัติเหตุ) 15 นาที

ณัฐชนน ปราบพล พรรณปพร บุญแปง อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้
 


ปี 2561 มีคนกว่า 1.3 ล้านคนทั่วโลก เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน และ 93% อยู่ในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา ความสูญเสียอันมหาศาลนี้ กลายเป็นประเด็นท้าทายระดับโลก ที่ต้องการลดความสูญเสียนี้ลงให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 ภายใต้การรณรงค์ชื่อว่า “Decade of Action for Road Safety 2021-2030” นำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO)

สำหรับประเทศไทยกับอุบัติเหตุจากจราจร คงหนีไม่พ้นคำสุภาษิตที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา”
เพราะเรามักจะได้เห็นข่าวความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนนซึ่งถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นสนใจที่สังคมให้ความสำคัญเพียงช่วงเวลาที่เกิดความสูญเสียเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปประเด็นเหล่านี้ก็จะถูกลืม วินัยการจราจรก็กลับไปหย่อนยานเช่นเดิมจนกว่าจะมีข่าวใหม่และเหยื่อหน้าใหม่เกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่จริงแล้ว ความสูญเสียจากการใช้รถใช้ถนนเกิดขึ้นทุกวัน จนกลายเป็นปัญหาสุดคลาสสิกที่ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย กลายเป็นว่า เรายังต้องเห็นโลงศพและหลั่งน้ำตากันอีกครั้งแล้วครั้งเล่า

เป็นที่ทราบกันดีว่า ไทยมีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน แม้ว่าจะมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนลดลงจาก 38 คนต่อแสนประชากรในปี 2554 เหลือ 32 คนในปี 2562 แต่ก็เป็นการลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้ง ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 2 เท่า (องค์การอนามัยโลก, 2563) และกรุงเทพฯ ก็ยังคงครองแชมป์เมืองที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนมากที่สุดของไทย

เมืองเป็นเหตุให้ชีพจรลงเท้า

ด้วยสถานการณ์ของกรุงเทพฯ ที่มีประชากรกว่า 10 ล้านคน (รวมปริมณฑล และประชากรแฝง) ประกอบกับลักษณะของเมืองที่พื้นที่แหล่งงานกับแหล่งที่อยู่อาศัยไม่สมดุลกัน (jobs-housing unbalance) อย่างกรณีของกรุงเทพฯ คือ แหล่งงานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่เฉพาะใจกลางเมืองเพียงแห่งเดียว ทำให้คนจำเป็นต้องเดินทางเข้า-ออกเมืองเป็นประจำทุกวัน โดยการสำรวจข้อมูลการเดินทางของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พบว่า ปี 2560 การเดินทางในกทม.และปริมณฑล มีปริมาณรวมกว่า 32 ล้านเที่ยว-คนต่อวัน ซึ่ง 31 ล้านเที่ยวคน หรือ 97% เป็นรูปแบบการเดินทางที่ต้องใช้ถนนและทางเท้าเพื่อการสัญจร มีเพียง 3% เท่านั้นที่เป็นการสัญจรด้วยระบบรางและเรือ ยิ่งไปกว่านั้น การวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองการขนส่งระดับกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (eBUM) ยังคาดการณ์ไว้อีกว่า ในพ.ศ.2585 หรืออีก 20 ปีข้างหน้า ปริมาณการเดินทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านเที่ยวคนต่อวัน (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร, 2561) ประกอบกับการจดทะเบียนยานพาหนะรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนั่นหมายถึง ยิ่งมีผู้ใช้รถและถนนเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนก็จะยิ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

กรุงเทพฯ เมืองอุบัติเหตุ 15 นาที

10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2554 จนถึง 2564 เกิดอุบัติเหตุบนถนนในพื้นที่กรุงเทพฯ เกือบ 4 แสนครั้ง เฉลี่ยแล้วปีละ 35,500 ครั้ง และเป็นสาเหตุให้ 830 คนเสียชีวิตทุกปี หรือสรุปง่าย ๆ ว่า ในแต่ละวันจะเกิดอุบัติเหตุบนถนนในกรุงเทพฯ เกือบ 100 ครั้ง หรือทุก ๆ 15 นาที และจะมีคนตายบนท้องถนนทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2-3 คน (ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ, 2564)

จากตัวเลขการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน “รถจักรยานยนต์” เป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดถึง 90% รองลงมา คือ รถยนต์ 10% ทำให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและสร้างการสูญเสียมากที่สุดบนท้องถนน อาจจะด้วยลักษณะพาหนะที่คล่องตัว รวดเร็ว และลักษณะเหมือน “เนื้อหุ้มเหล็ก” ขาดอุปกรณ์การป้องกันสำหรับผู้ขับขี่และโดยสาร ประกอบกับการใช้รถจักรยานยนต์เพื่อรับ-ส่งสินค้าที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้ขับต้องแข่งขันกับเวลา ยิ่งทำให้ผู้ขับขี่จักรยานยนต์มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นไปอีก โดยสาเหตุในการเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่เป็นหลัก โดยเฉพาะการขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด ซึ่งคิดเป็น 87% ของเหตุการณ์ทั้งหมด เกิดจากคน รถ และสัตว์ ตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด 6% และเกิดจากการฝ่าฝืนสัญญาณไฟ-เครื่องหมายจราจร หรืออุปกรณ์ยานพาหนะบกพร่อง 3% (กระทรวงคมนาคม, 2564)

แค่รณรงค์คงไม่พอ

เห็นได้ชัดว่า อุบัติเหตุบนถนนส่วนใหญ่มีสาเหตุหลักมาจากความประมาทและฝ่าฝืนกฎจราจรสูงถึง 90% ฉะนั้น หากต้องการจะลดความสูญเสียนี้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม การรณรงค์ผ่านแคมเปญที่มาอย่างสม่ำเสมอ เช่น เมาไม่ขับ ง่วงไม่ขับ หรือตั้งสติก่อนสตาร์ท นั้นคงไม่เพียงพอ จะต้องอาศัยการปลูกฝังวินัยการจราจร การออกแบบกายภาพและโครงสร้างของถนนที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย และที่สำคัญคือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะช่วยสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด

ท้ายที่สุดแล้ว ความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนถนนที่ดูเป็นเรื่องคุ้นชินของสังคมไทยนั้น ที่จริงแล้วกลับเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไปที่คน ๆ หนึ่งกลายเป็นผู้พิการหรือเสียชีวิต จากอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทเพียงชั่วพริบตา แล้วในอนาคตที่หากปริมาณการเดินทางเพิ่มมากขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ เป็นไปได้ว่า เราอาจจะต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมแบบนี้มากขึ้นและถี่ขึ้นแน่นอน หากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ อย่างจริงจัง

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสื่อเสริมสร้างความเป็นพลเมืองไทย: การใช้สื่อและการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการเรียนรู้สิทธิและหน้าที่ของความเป็นพลเมืองเพื่อขับเคลื่อนเมืองน่าอยู่ในประเทศไทย โดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC-CEUS) ในการสนับสนุนของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
.
.

#สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม #กองทุนสื่อ #กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ #UDDC_CEUS

ที่มาข้อมูล

ThaiRSC ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน

อุบัติเหตุทางถนน ปี 2562

Road traffic injuries

Mortality caused by road traffic injury is estimated road traffic fatal injury deaths per 100,000 population, World Bank (2019)

รายงานสำรวจข้อมูลการเดินทาง, สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (2560)


Contributor