25/05/2021
Public Realm

เมื่อ Smart City คือเมืองที่เต็มไปด้วยคนสมาร์ต เมืองซูวอนผลักดันให้คนเข้าถึงการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลาอย่างไร

สรวิชญ์ ธรรมรติวงศ์
 


“เรากำลังสร้างอนาคตที่สดใสให้กับพลเมืองซูวอนในเมืองที่เห็นแก่ผู้อื่นที่เน้นการเรียนรู้และการแบ่งปันเป็นศูนย์กลาง” Mr.Tae-young Yeom นายกเทศมนตรีเมืองซูวอน ประเทศเกาหลีใต้

ปัจจุบันเทรนด์ของการพัฒนาเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก ต่างสอดรับกับการพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากขึ้น การพัฒนาเมืองจึงเน้นในการด้านการนำเทคโนโลยีเข้ามาร่วมในการบริหาร การออกแบบ และการใช้ชีวิตในเมือง หรือมีเทรนด์การพัฒนาเมืองที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “เมืองอัจฉริยะ” (Smart City) 

การที่เมืองแห่งหนึ่งจะกลายเป็นเมืองอัจฉริยะได้ เมืองแห่งนั้นต้องมีองค์ประกอบหลัก ๆ 6 ประการ (Six Dimensions of Smart City) หากมีเพียงองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งเมืองแห่งนั้นก็จะถือว่าเป็น Smart City ได้แล้ว โดยในบทความนี้จะกล่าวเกี่ยวกับองค์ประกอบหนึ่งได้แก่ Smart People 

The Smart City Wheel developed by Boyd Cohen has become a widely accepted international tool for identifying smart cities based on the six dimensions and related working area
Source: Boyd Cohen

จากไดอะแกรมข้างต้น คำว่า Smart People เกี่ยวโยงกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมือง ในเมืองอัจฉริยะนั้นผู้คนจะต้องมีความรู้ มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี มีความสามารถที่จะอยู่ร่วมกันกับสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้ ซึ่งการที่ผู้คนในเมืองจะมีคุณสมบัติดังกล่าว สามารถทำได้ผ่านการเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ จึงเกิดเป็นคำพูดว่า “Lifelong Learning” หรือ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” การที่ผู้คนในเมืองจะสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิตได้นั้นก็ต้องอาศัยการพัฒนาเมืองให้เหมาะสมแก่การเรียนรู้ จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า “เมืองแห่งการเรียนรู้” (Learning City) ขึ้นมานั้นเอง

โดยในวันนี้ผมจะยกตัวอย่างเมืองแห่งการเรียนรู้ที่น่าสนใจขึ้นมา 1 แห่ง คือ เมืองซูวอน ประเทศเกาหลีใต้

เมืองซูวอนอยู่ทางใต้ของกรุงโซลด้วยระยะทาง 40 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในจังหวัดกยองกีโด (Gyeonggi) มีประชากรประมาณ 1.2 ล้านคน ในปี 2005 กระทรวงศึกษาธิการของเกาหลีใต้ได้มอบตำแหน่งเมืองแห่งการเรียนรู้แก่เมืองซูวอน ส่งผลให้เมืองกลายเป็นเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ในหลาย ๆ ด้าน โดยเน้นการเรียนรู้ในประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ และเด็กเป็นหลัก 

องค์กรหลักที่มีบทบาทในการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ คือ “Suwon Lifelong Learning Center” มีหน้าที่หลักในการวางแผนและสร้างโปรแกรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การเกษตรในเมือง งานหัตถกรรม หรือการศึกษาวรรณกรรม เป็นต้น รวมถึงให้การสนับสนุนชมรม คลับ และกิจกรรมจิตอาสาที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ผ่านการส่งมอบสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ต้องการ และยังช่วยโปรโมตการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับประชาชนในเมืองผ่านการให้ข้อมูลทางโปสเตอร์หรือเว็บไซต์

ปี 2019 มีสถานที่ที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ในเมืองซูวอนมากกว่า 600 แห่ง ประกอบไปด้วย ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน 42 แห่ง ศูนย์การเรียนรู้ของเด็กและวัยรุ่น 73 แห่ง ศูนย์แสดงงานศิลปะและวัฒนธรรม 20 แห่ง สถานที่แห่งการเรียนรู้อื่น ๆ อีกมากมาย และสถานที่สำคัญในการเรียนรู้มากที่สุด คือ ห้องสมุดซึ่งในเมืองซูวอนแห่งนี้มีมากถึง 118 แห่ง ห้องสมุดเหล่านี้อยู่ห่างจากบ้านของประชากรทุกคนเฉลี่ยที่ 10 นาที 

ห้องสมุดในเมืองซูวอนมีจุดเด่นนอกจากจะเป็นสถานที่ที่อ่านหนังสือแล้ว ผู้คนยังสามารถนำสิ่งที่ตัวเองอ่านมานั่งถกเถียงในห้องสมุดได้ เด็กที่การวิ่งเล่นเป็นการเรียนรู้ก็สามารถเข้ามาวิ่งเล่นได้ด้วยมีพื้นที่กว้างใหญ่ และมีลานกว้างสำหรับการวิ่งเล่น รวมถึงยังมีห้องเรียนสำหรับการสร้างโปรแกรมการเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ให้แก่กลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุอีกด้วย

ศูนย์การเรียนรู้ที่กล่าวมาเหล่านี้ได้มอบการเรียนรู้ในทุก ๆ รูปแบบที่เหมาะสมให้กับพลเมือง และการสร้างสถานที่แห่งการเรียนรู้จำนวนมากขนาดนี้เอง ทำให้ประชากรในเมืองสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองได้ตลอดเวลา อันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการที่คน ๆ หนึ่งจะเรียนรู้ตลอดชีวิตได้

มีแหล่งเรียนรู้น่าสนใจแห่งหนึ่งในเมืองซูวอน คือ Mwolado School คำว่า Mwolado เป็นคำในภาษาเกาหลี แปลว่า อะไรก็ได้ (anything) ซึ่งหมายถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่กำลังใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลาย พวกเขามีเวลาว่างมากพอและพร้อมที่จะเรียนรู้อะไรก้ได้ที่พวกเขาสนใจ Mwolado School จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อที่จะมอบโอกาสทางการเรียนรู้ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ โดยโรงเรียนได้สร้างโปรแกรมการเรียนรู้ต่าง ๆ มากมายขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ที่หลากหลายของกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น คอร์สการเต้นพื้นบ้าน คอร์สการใช้คอมพิวเตอร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย

อีกสถานที่ที่น่าสนใจ คือ Nunuga School เช่นกันคำว่า Nunuga นั้นเป็นคำในภาษาเกาหลีที่แปลว่า ใครก็ได้ (anybody) โดยใครก็ได้นี้หมายถึงใครก็สามารถมาเป็นผู้ให้ความรู้ได้ เพราะฉะนั้น Nunuga School จึงเป็นสถานที่ที่ใครที่อยากจะนำความรู้หรือทักษะที่ตัวเองมีมาเผยแพร่ ก็สามารถเข้ามาในที่แห่งนี้และสร้างโปรแกรมการเรียนรู้ขึ้นมาเพื่อที่จะเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ให้เก่าคนอื่น ๆ ทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และคนแก่สามารถเข้ามาเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้มากมายกับผู้ให้ความรู้ที่อาจจะเป็นคนรุ่นพ่อแม่ หรืออาจจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และต้องการจะเผยแพร่ความรู้ที่ตัวเองพึ่งเรียนมาให้กับคนอื่น โดยการเรียนรู้ใน Nunuga School แห่งนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย (tuition free)

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การที่เมืองซูวอนสามารถพัฒนาตัวเองให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ได้นั้น เพราะพวกเขาที่ได้พัฒนาเมืองให้ทุก ๆ พื้นที่ในเมืองเหมาะแก่การเรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของประชากรทุก ๆ คน สิ่งย่อมส่งผลให้การเรียนรู้ตลอดชีวิตนั้นเป็นเสมือนวิถีชีวิตทั่วไปของเรา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปเลยนั่นเอง

แหล่งข้อมูล

UIL (UNESCO Institute of Lifelong Learning)

OECD (2020). “Case study: Lifelong Learning in Korea”. in Strengthening the Governance of Skills 

Systems: Lesson from Six OECD Countries, OECD Publishing, Paris.

เพชรพิไล ลัทธนันท์, (2564). เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา มนุษย์กับภูมิศาสตร์, คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


Contributor