24/11/2025
Public Realm
เมื่อฝุ่นครองเมือง พื้นที่ของผู้สูงวัยจะอยู่ตรงไหน?
The Urbanis ณภัทร คงเมือง
ในวันที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัย และคนมากมายกำลังคิดถึง “Active Aging” หรือการแก่ไปอย่างแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี หลังการทำงานอย่างหนักเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเลี้ยงดูลูกหลานมาตลอด ถึงเวลาแล้วที่ผู้สูงอายุควรได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างเต็มที่ เดินเล่นในสวน พูดคุยกับเพื่อนบ้าน หรือออกกำลังกายเบา ๆ กลางแจ้ง แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
The Urbanis จะชวนไปสำรวจว่าเมื่อฝุ่นยังครองท้องฟ้าและถนนทุกสาย แล้วจะยังเหลือพื้นที่ให้ผู้สูงวัยตรงไหนบ้าง
ผู้สูงวัยอยากขยับ แต่เมืองกลับขวาง
จากการศึกษาของทีมนักวิจัยจาก International Health Policy Program กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ Saw Swee Hock School of Public Health พบว่าผู้สูงอายุกว่า 79% มีภาวะเนือยนิ่งสูง ข้อมูลนี้อาจไม่ได้สะท้อนเจตนาที่จะเนือยนิ่งของผู้สูงอายุ เพราะเมื่อพิจารณาปัจจัยภายนอกอย่างอากาศที่ร้อน รถที่ติด หรือปัญหาคลาสสิค อย่าง “มลพิษทางอากาศ” ก็ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญ จากการศึกษาในประเทศจีน พบว่ากิจกรรมทางกายในผู้สูงอายุมีความสัมพันธ์กับปริมาณฝุ่นละอองอย่างชัดเจน กล่าวคือถ้าอากาศสะอาดจะส่งผลให้ผู้สูงอายุออกมาใช้ชีวิต ออกกำลังกาย และทำตัวกระฉับกระเฉง (Active) ได้มากขึ้น
แก่เร็วขึ้น-เสี่ยงสูงขึ้น เพราะเมืองเร่งให้ร่างกายเสื่อม
ไม่เพียงแต่มลพิษทางอากาศจะทำให้ผู้สูงอายุไม่อยากไปออกกำลังกายเท่านั้น แต่ฝุ่นพิษเหล่านี้ยังส่งผลเร่งความแก่ให้กับผู้สูงอายุและทุกคนอีกด้วย Institute for Biomedical Aging Research ประเทศออสเตรียได้ศึกษาแล้วพบว่า มลพิษทางอากาศส่งผลต่อการอักเสบและความเสื่อมของเซลล์โดยเฉพาะเซลล์ผิวหนัง ผิวหนังไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่มันคือเกราะป้องกันร่างกายด่านแรกที่อ่อนแอลงทุกครั้งเมื่อเจอมลพิษ
มากไปกว่านั้นมลพิษทางอากาศยังถูกตอกย้ำด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเมื่อฝุ่นละอองเหล่านั้นมาเจอกับอากาศที่ร้อน ยิ่งตอกย้ำความเปราะบางของร่างกายผู้สูงอายุ จนอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤติทางสุขภาพ โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจและภาวะหลอดเลือดสมอง (Stroke) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตผู้สูงอายุจำนวนมาก
ฝุ่นล้อมไว้หมดแล้ว แต่ผู้สูงวัยกลับไม่มีเสียงเตือน
ที่น่ากังวลไปกว่านั้น ผู้สูงอายุหลายคนกำลังเผชิญกับภัยร้ายนี้อย่างไม่มีเสียงเตือนและอาจไม่มีโอกาสหลีกเลี่ยงได้อย่างทันท่วงที เพราะระบบการรายงานฝุ่นในปัจจุบันเกือบ 100% ถูกจำกัดอยู่ในรูปแบบออนไลน์ ผ่าน Application ก็ดี หรือผ่าน Website ของหน่วยงานราชการต่างๆ ทำให้ผู้สูงอายุที่หลายคนอาจจะยังไม่คล่องในการใช้เทคโนโลยี บางคนอาจจะยังใช้โทรศัพท์แบบมีปุ่มกด หรือบางคนอาจจะยังไม่มีโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ
แต่ถึงแม้ผู้สูงอายุจะเข้าถึงได้ ก็อาจจะถูกหลอกซ้ำซ้อนจากระบบการรายงานแบบ “ค่าเฉลี่ย” รายแขวงหรือรายเขต ซึ่งถูกใช้มากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ค่าฝุ่นที่แสดงออกมาอาจจะไม่สะท้อนค่าจริงของผู้สูงอายุ เช่น กรณีเครื่องวัดกระจายอยู่ในสวนเอามาเฉลี่ยกัน แต่ผู้สูงอายุเดินริมถนนที่มีรถสัญจรไปมาตลอดเวลาย่อมได้รับฝุ่นมากกว่าค่าที่แสดงให้เห็นผ่านระบบอย่างแน่นอน เมื่อเสียงเตือนของฝุ่นพิษไม่ดังพอสำหรับคนที่เสี่ยงที่สุด เมืองก็อาจกำลังละเลยกลุ่มที่ควรปกป้องที่สุดเช่นกัน
เมื่อผู้สูงวัยไร้ทางหนีจากอากาศที่เป็นพิษ
ทุกคนอาจจะคิดว่าถ้างั้นเราก็แค่อยู่แต่ในบ้าน ก็ไม่ต้องกลัวฝุ่นพิษแล้ว แต่จริงๆ แล้วยังมีศัตรูตัวสำคัญในชื่อของ “Indoor Air Pollution” ที่ส่งผลร้ายแทบไม่ต่างจากอากาศด้านนอกเลย จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าฝุ่นภายในบ้านในพื้นที่กรุงเทพมหานครอาจมีสัดส่วนได้สูงถึงราว 80% ของฝุ่นที่อยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งฝุ่นพิษเหล่านี้ก็เป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุและทุกคนในบ้านแม้จะอยู่ในบ้านและอยู่ในภาวะเนือยนิ่งก็ตาม
ยิ่งกว่านั้น แหล่งกำเนิดฝุ่นในบ้านก็มีอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารโดยไม่มีเครื่องดูดควัน การใช้เตาแก๊ส การจุดธูป หรือแม้แต่การเปิดหน้าต่างรับอากาศ “(ไม่)บริสุทธิ์” ในวันที่ค่าฝุ่นภายนอกสูงเกินมาตรฐาน และซ้ำร้ายไปกว่านั้น จากสภาพเมืองในปัจจุบันทำให้เกิดปรากฏการณ์ Urban Heat Island ที่ทำให้เกิดโดมความร้อนแล้วกักเก็บมลพิษอากาศให้ไม่สามารถกระจายออกไปยังพื้นที่รอบนอกได้ ยิ่งตอกย้ำความไร้ทางหนีของทุกคนจากปัญหาที่ร้ายแรงนี้ ในบริบทเช่นนี้ บ้านที่เคยเป็นพื้นที่ปลอดภัยจึงอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป หากไม่มีมาตรการจัดการที่ครอบคลุมทั้งภายนอกและภายใน
เมืองแบบไหนที่ให้ผู้สูงวัย แก่ได้อย่างกระฉับกระเฉง?
ปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศไทยไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เกิดจากปัญหาทั้งเชิงโครงสร้างและการบังคับใช้กฎหมายที่ยังหละหลวมปล่อยให้กิจกรรมที่ก่อฝุ่นเกิดขึ้นซ้ำซาก ทั้งการเผาในที่โล่งแจ้ง การขนส่งและจราจรที่แออัด การขาดระบบกฎหมายที่เชื่อมโยงข้อมูลฝุ่นกับมาตรการบังคับใช้จริง สิ่งเหล่านี้คือต้นตอที่ถ้าไม่แก้ก็เท่ากับเมืองยังต้องแก้ฝุ่นแบบเชิงรับไปตลอด เมืองจึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงปรับภูมิทัศน์หรือเพิ่มพื้นที่สีเขียวเท่านั้น แต่บทบาทเมืองในปัจจุบันต้องมีการทำงานเชิงรุก เช่น การออกข้อบัญญัติท้องถิ่นในการควบคุมต้นกำเนิด การออกแบบระบบตรวจวัดและรายงานฝุ่น
นอกจากนั้น เมืองยังต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผู้สูงอายุสามารถออกไปใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการวางเครื่องวัดฝุ่นแบบรายจุดในระดับชุมชนเพื่อการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ผ่านระบบจอโดยที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยี เช่นการดำเนินการของสิงคโปร์ที่มีการติด Low-Cost Sensor (LCS) มาเพื่อใช้ในการกระจายจุดตรวจวัดให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ที่มีบริบทแตกต่างกัน หรือการมีโครงสร้างพื้นฐานหรือสถานที่ทำกิจกรรมทางกายที่ใกล้ที่อยู่อาศัยโดยไม่ต้องเดินผ่านถนนที่แออัดและเต็มไปด้วยมลพิษ หรือการมีมาตรการลดฝุ่นภายในบ้าน อย่างการแจกเครื่องฟอกอากาศให้กลุ่มที่เปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เมืองแบบนี้แสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่าคำว่า “เมืองที่ทำให้อายุยืน” และหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของการมีชีวิตอยู่ในทุกๆ วัน นั่นหมายถึงการออกแบบ “เมืองที่ยืดอิสระในการใช้ชีวิตให้ผู้สูงอายุ” ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้การหายใจในแต่ละวันไม่ใช่การเสี่ยงโชค แต่เป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ
เมืองไม่ควรเป็นแค่ฉากหลังของการแก่ตัวลง แต่ต้องเป็นพื้นที่ที่ทำให้ทุกช่วงชีวิต รวมถึงวัยชราที่เปราะบางยังคงมีความหวัง มีพื้นที่หายใจ และมีสิทธิ์ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาโครงการพัฒนาดัชนีประเมินความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมเมืองกับสุขภาวะคนเมืองในยุคสังคมสูงวัย จัดโดย ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC-CEUS) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)