12/06/2023
Mobility
ปฏิวัติจักรยานปารีส
ผศ.ดร. นิรมล เสรีสกุล
![](https://theurbanis.com/wp-content/uploads/2023/05/ปฏิวัติจักรยาน-ปารีส.jpg)
หลังจากที่ดูสารคดีของนักผังเมืองชาวเนเธอร์แลนด์ที่มาลองปั่นจักรยานบนเลนจักรยานที่วางใหม่เกือบทั้งเมืองของปารีส ก็เห็นว่าเขาทึ่งมาก โดยกล่าวว่า “อัมสเตอร์ดัมใช้เวลากล่า 2 ทศวรรษในการเปลี่ยนเป็นเมืองจักรยาน แต่ปารีสใช้เวลาเพียง 3 ปี แม้ระบบและรายละเอียดทางเทคนิค เช่น ระบบสัญญาณ ทางข้าม และรอยต่อยังไม่เนี้ยบเหมือนอัมสเตอร์ดัม แต่ต้องบอกว่าน่าทึ่ง”
ไม่ใช่แค่นักผังเมืองผู้ผลิตสารคดี แต่ผู้เขียนเองก็ทึ่ง เพราะไม่คิดว่าปารีสจะทำและทำได้เร็วขนาดนี้แอนน์ ไฮดาลโก (Anne Hidalgo) นายกเทศมนตรีกรุงปารีส ที่ชนะเลือกตั้งสมัยที่สองด้วยการสนับสนุนของพรรคการเมืองสีเขียว (Green Party) ที่เน้นนโยบายเมืองจักรยานและพื้นที่สีเขียวเป็นหนึ่งในนโยบายหลัก
![](https://theurbanis.com/wp-content/uploads/2023/06/033-1024x662.jpg)
นโยบายนี้มีกรอบลงทุน 180 ล้านยูโรหรือ 6,000 พันกว่าล้านบาท เพื่อวางโครงข่ายจักรยานใหม่ทั้งเมือง เป็นทั้งเลนแยกและรูปแบบต่างๆ (เช่น ร่วมกับทางเท้า) และสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่จอด ทางข้าม และสัญญาณไฟ โดยตั้งเป้าว่าปีค.ศ. 2026 จะมีเลนจักรยานในเมืองยาวรวม 180 กิโลเมตร หรือระยะทางประมาณกรุงเทพฯ-ระยอง
แน่นอนว่าจะให้ปั่นสะดวก ก็ต้องมีการปรับขนาดช่องทางจราจรใหม่ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การลดขนาดถนน หรือ “street diet” การปรับทิศทางการจราจรเป็นแบบวิ่งทางเดียว (one-way) รวมทั้งนำที่จอดรถบนถนน (on-street parking) ออก เป้าหมายคือลดจำนวนที่จอดรถริมถนนออก 70% หรือ 60,000 คัน แล้วแทนที่ด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และที่จอดจักรยาน
หนึ่งในถนนมีที่การพัฒนาอย่างน่าเหลือเชื่อคือ ถนน Rivoli ซึ่งเป็นถนนเส้นหลักผ่ากลางใจเมืองในทิศตะวันออก-ตะวันตก มีการลดขนาดถนน 2 ใน 3 ช่องทางการจราจร โดยเฉพาะช่วงที่ผ่าน hotel de ville หรือศาลากลางของกรุงปารีส เพื่อนำไปทำเป็นเลนจักรยาน เรียกว่าหักดิบ ซึ่งโครงการนี้ดูแลโดยรองนายกเทศมนตรีดาวิด เบลิอาร์ (David Belliard) จากพรรค Green Party (เคยให้สัมภาษณ์ในสารคดี “เมืองจักรยานยุคโควิด” โดย bbc)
![](https://theurbanis.com/wp-content/uploads/2023/06/032-1024x672.jpg)
ต้องบอกว่าการมาปารีสครั้งนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน คนปั่นจักรยานเยอะขึ้น ปั่นได้สะดวกมากขึ้น เส้นทางเชื่อมโยงเเทบทั้งเมือง สามารถไปได้หมด ไม่เจอทางตันหรือจู่ๆ ทางขาดหายไป และที่ปารีสสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ก็เพราะว่า Anne Hidalgo “เปลี่ยนวิกฤตโควิดเป็นโอกาส” เมืองปิด คนไม่กล้าใช้รถไฟและรถสาธารณะ เมืองก็ยิ่งเร่งผลักดันนโยบายจักรยาน ที่ในสถานการณ์ปกติอาจจะผลักดันได้ยาก ปารีสจึงใช้โอกาสช่วงนี้ในการรีเซ็ตเมือง
อย่างไรก็ตาม เหรียญก็มีสองด้าน นโยบายจักรยานนี้ถูกโจมตีว่า “เอาใจพวก bobo” (bourgeois-bohème หากจะแปลก็น่าจะหมายถึงกลุ่มฮิปสเตอร์ที่ไม่ต้องกังวลกับรายได้และแสวงหาไลฟ์สไตล์เก๋ๆ เป็นกลุ่มที่มีบ้านอยู่ในเมือง อีกทั้งเมืองปารีสก็สามารถเดินได้เดินถึงอยู่แล้ว ขนส่งสาธารณะมีความครอบคลุม แต่นโยบายนี้กลับไม่เห็นอกเห็นใจ “คนใช้รถ” ที่บ้านอยู่นอกเมืองแล้วต้องขับรถเข้ามาทำงานในเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรายได้ไม่สูง รวมทั้งรถขนส่งของต่างๆ ไม่มีที่จอด ใช้ชีวิตยากลำบากขึ้น ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงกันจนปัจจุบัน
![](https://theurbanis.com/wp-content/uploads/2023/06/031-1024x657.jpg)
จากการไปร่วมเวิร์คช็อป PUBLIC SPACE OF MOBILITY: PARIS, TOKYO, BUENOS AIRES กับ Institute Paris Region ได้มีโอกาสสอบถามนักผังเมืองที่นี่ว่าแนวโน้มนโยบายนี้จะไปต่ออย่างไร ได้ความว่าคุณไฮดาลโก คงเดินหน้าต่อ เพราะยังยืนหยัดในเหตุผลเรื่องมลพิษทางอากาศ ภาวะโลกร้อน น้ำมันแพง (และแน่นอนแคมเปญโอลิมปิค 2024) ปารีสจำเป็นต้องปรับวิธีการเดินทางให้เป็น non-motorized และเอารถยนต์ออกจากเมือง
อย่างไรก็ตามประเด็นการดำเนินการแบบหักดิบ อาจจะต้องทบทวนใหม่ รวมทั้งการวางระบบขนส่งสาธารณะให้ผสานระหว่าง “ในเมือง-ชานเมือง” มากกว่านี้ อาจจะช่วยให้คุยกันรู้เรื่องมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับนักผังเมืองปารีสก็ได้ข้อสรุปว่าก่อนจะ “ปั่นได้-ปั่นดี” ช่วยทำให้เมือง “เดินได้-เดินดี” ก่อน ทำให้เนื้อเมือง (urban fabric) สนับสนุนการเดินและหาวิธีลดการใช้รถยนต์ก่อน เพราะหากเมืองยังเดินไม่ได้ การปั่นจักรยานในเมืองให้ปลอดภัยก็อาจจะยาก
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสื่อเสริมสร้างความเป็นพลเมืองไทย: การใช้สื่อและการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการเรียนรู้สิทธิและหน้าที่ของความเป็นพลเมืองเพื่อขับเคลื่อนเมืองน่าอยู่ในประเทศไทย โดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC-CEUS) ในการสนับสนุนของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์