28/02/2020
Environment
เมืองแห่งความว่าง
วิทยากร โสวัตร
1
ค่ำคืนก่อนวันสุดท้ายของปี 2019 ผมนอนอยู่ข้างกองไฟริมแม่น้ำโขงในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เก่าแก่เกินร้อยปีห่างจากตัวเมืองเขมราฐประมาณ 10 กิโลเมตร
กองไฟให้ความอบอุ่น ความมืดให้ความกระจ่างใสแก่ดวงดาว ยิ่งดึกก็ยิ่งเงียบ ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงน้ำโขงไหลกระทบโขดหินและริมฝั่ง จินตนาการบางอย่างทำให้ผมละสายตาจากดวงดาวบนท้องฟ้าแล้วลุกขึ้น เดินไปริมตลิ่ง แสงไฟจากฝั่งตรงข้ามสะท้อนน้ำระริกไหว ดาวสุกสกาวบางดวงพริบพรายแสงบนแผ่นน้ำ เมื่อเพ่งมองลงไปในแม่น้ำก็สัมผัสได้ถึงความสงัดในห้วงลึกสุดของจิตใจตัวเองจนสะท้านไหว
ผมเชื่อว่าถ้า วินเซนต์ แวนโกะห์ เกิดแรงบันดาลใจที่จะวาดภาพทั้งหลายและบรรยากาศในราตรีนี้ลงในเฟรมของเขา ผมมั่นใจว่าเขาต้องเลือกที่นี่ในคืนนี้ เพราะถ้าเป็นคืนพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันสิ้นปี ภาพเขียนของเขาจะไม่นิ่งสงัดพอที่จะขับพลังแห่งความเงียบที่อยู่ลึกสุดในหัวใจให้เปล่งเสียงออกมาสะเทือนอารมณ์คนดูงานได้
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะสว่าง แม่น้ำมีละอองฝ้าสีขาวหม่นค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น คงเป็นไอหมอกจากแม่น้ำ ไอหมอกนี้ทำให้น้ำในแม่น้ำและอากาศเหนือแผ่นน้ำอุ่นขึ้น
ผมมุดเข้าเต้นท์ก่อนที่ฟ้าจะสว่างไม่นาน… ตื่นมาเพราะเสียงนกและเสียงพิณจากเครื่องกระจายเสียงที่แว่วมาจากฝั่งลาวในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองวันสิ้นปี เมื่อลืมตาขึ้นและปรับแสงตากับแดดเช้าได้แล้ว ก็เห็นฝูงนกหลายพันตัวโฉบบินอยู่เหนือแม่น้ำ ไออุ่นที่ระเหยจากแม่น้ำทำให้ฝูงแมลงขยับปีก เรือหาปลาแหวกไอหมอกอุ่นเหนือแผ่นน้ำทำให้พวกมันแตกตื่น และหมู่นกกินแมลงจึงโฉบเฉี่ยววาดลวดลายส่งเสียงร้องเหมือนเสียงเพลงในฤดูเก็บเกี่ยว
ผมลุกไปทำกาแฟ แล้วนั่งลงจิบกาแฟอุ่น ๆ มองภาพหมู่นกเหล่านั้น ย้อนนึกไปถึงเหตุแห่งการปรากฏตัวและแปรขบวนของพวกมัน ไล่เรียงไปถึงภาพและบรรยากาศของเมื่อคืน และการมาเยือนเขมราฐปีละหลายครั้งในช่วงฤดูหนาว
แล้วอยู่ๆ ผมก็รู้สึกขึ้นมาอย่างรุนแรงว่า ผมอยากให้มีเมืองสักเมืองถูกสร้างขึ้นบนปรัชญาแห่งความว่าง
ผมนึกถึงเรื่องราวในหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยอ่านมานานหลายปีแล้ว จำได้ว่าตอนที่อ่านถึงบทนั้นผมอยากรู้ขึ้นมาจริง ๆ ว่าเมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้วมหานครลอนดอนมีหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Robert Darwin FRS; 12 กุมภาพันธ์ 1809 – 19 เมษายน 1882) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ทำการปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต และเสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และหลักการพื้นฐานของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection)) บอกว่า สาวแก่ที่เลี้ยงแมวมีส่วนทำให้ลอนดอนเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดเมืองหนึ่งในโลก เขาให้เหตุผลว่า แมวจำนวนมากที่เลี้ยงโดยสาวแก่เหล่านี้ช่วยควบคุมจำนวนประชากรของหนู ซึ่งเป็นผลดีแก่บรรดาผึ้งใหญ่ที่ทำรังอยู่ใต้ดิน รังของพวกมันจึงปลอดภัยจากการรุกรานของพวกหนู ผลที่ตามมาคือจำนวนผึ้งที่มีมาก ย่อมหมายถึงดอกไม้จำนวนมากได้รับการผสมเกสร ดาร์วินจึงสรุปว่าสาวโสดที่เลี้ยงแมวจำนวนมาก ย่อมเท่ากับดอกไม้จำนวนมากในลอนดอน
2
ตอนที่ผมอ่านพบเรื่องราวนี้ในบทที่ ๘ ระหว่างหน้า ๑๑๕ – ๑๑๙ ของหนังสือเรื่อง The Wisdom of Forgiveness ซึ่งเป็นผลงานร่วมกันของ ทะไลลามะ และ วิกเตอร์ ชาน และถูกแปลเป็นไทยอย่างดีในชื่อ ปัญญาญาณแห่งการอภัย โดย สายพิณ กุลกนกวรรณ ฮัมดานี สำนักพิมพ์สวนเงินมีมาจัดพิมพ์ในรูปเล่มสีเขียวสวยงามเรียบง่าย ทำให้ผมเข้าใจถึงปรัชญาที่ลึกซึ้งที่สุดของพุทธธิเบตและมหายานนั่นคือความความว่าง
ในความเห็นของทะไลลามะ หากปราศจากบัณฑิตและผู้ปฏิบัติธรรมแห่งนาลันทา ย่อมไม่มีพุทธธิเบตที่เรารู้จักกันในวันนี้ “คัมภีร์สำคัญทุกเล่มที่เราเรียนและท่องจนขึ้นใจ ล้วนแต่เขียนโดยคณาจารย์แห่งนาลันทา ดังนั้น ชื่อของครูเหล่านี้ โดยเฉพาะนาครชุน คุรุชาวอินเดียในศตวรรษที่สองจึงดำรงอยู่ในใจเรา…”
จากปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า นาครชุนสาธกขึ้นเป็นธรรมกถาแห่งสภาวะความจริง ที่มีฐานจากหลักธรรมเรื่องการเชื่อมโยงอิงอาศัยของสรรพสิ่ง “หลักการแห่งการเชื่อมโยงอิงอาศัยช่วยเปิดทัศนะเราให้กว้างขึ้น” ทะไลลามะเกริ่น “สามารถกล่าวได้ว่า หลักเหตุปัจจัยคือการเข้าใจสภาวะความเป็นจริง เราต่างเข้าใจว่า อนาคตของเราขึ้นอยู่กับสันติสุขของโลก มุมมองเช่นนี้ช่วยบรรเทาความคับแคบในจิตใจ ซึ่งเป็นตัวก่อเกิดการติดยึดและความเกลียดชัง ฉันคิดว่าข้อดีที่สุดของหลักธรรมนี้ คือเป็นหลักที่อธิบายถึงกฎของธรรมชาติซึ่งประจักษ์ได้ชัดเจน เช่นในเรื่องสิ่งแวดล้อม”
การเชื่อมโยงอิงอาศัยเป็นหลักเบื้องต้นทั้งในพุทธศาสนาและนิเวศวิทยา ต่างมีแก่นความเชื่อที่ว่าสรรพสิ่งสัมพันธ์โยงใยกันอยู่ แม้ความสัมพันธ์นั้นจะละเอียดซับซ้อนแต่ประจักษ์ได้
สำนักงานของทะไลลามะมัธยัสถ์มากในเรื่องการใช้กระดาษ บรรดาเลขานุการส่วนพระองค์ต่างเคร่งครัดกับการใช้ซ้ำกระดาษอย่างระมัดระวัง มิให้ขัดต่อความห่วงใยสิ่งแวดล้อมของทะไลลามะ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาสำนักงานส่วนพระองค์คงได้ช่วยลดการตัดไม้ไว้หลายต้น
การมีต้นไม้จำนวนมากย่อมหมายถึงที่อยู่อันสมบูรณ์ของพืชพันธุ์และดอกไม้ โลกที่ดารดาษด้วยพันธุ์ไม้และดอกไม้ย่อมก่อภาวะปัจจัยที่ดีแก่กวี และกวีที่มีชีวิตอยู่ในโลกเช่นนี้ ย่อมสร้างสรรค์ประพันธ์กวีได้มากบทและงดงามยิ่ง ซึ่งคงยังผลให้ร้านหนังสือที่เน้นงานกวีได้มีงานหลากหลายไว้ขึ้นชั้น เพราะทะไลลามะประหยัดการใช้กระดาษ ผู้อ่านที่ชอบงานกวีทั่วโลกจึงพลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย
โดยนัยนี้เราเองก็เป็นอย่างทะไลลามะและทำได้เช่นกัน
3
เขมราฐเป็นเมืองเก่าแก่คู่กันมากับอุบลราชธานีและมาขึ้นต่ออุบลราชธานีในภายหลัง ก่อนที่เขมราฐจะมาโด่งดังเพราะเกิดมีถนนคนเดินเขมราฐ ผมเทียวไปขับรถชมเมืองเก่าที่มีตึกและบ้านไม้เก่าแก่มากมายและลวดลายเชิงชั้นศิลปะเหนือกว่าเชียงคานแห่งนี้อยู่เนืองๆ เพียงแต่มันถูกปล่อยให้หลับใหลทรุดโทรม
การขยายตัวของเศรษฐกิจชายแดนช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาได้ปลุกเมืองนี้ขึ้นมา และเป็นจังหวะเวลาที่ดีที่รสนิยมของผู้คนเริ่มกลับมานิยมเมืองเก่าและของเก่า ตึกไม้เก่าแก่ บ้านไม้เก่าแก่ จึงค่อยๆ ได้รับการซ่อมแซมบำรุงให้ฟื้นคืน ในขณะที่ถนนคนเดินในเมืองต่างๆ เริ่มกลายพันธุ์และค่อยๆ ตายไป ถนนคนเดินเขมราฐก็ก่อเกิดขึ้นจากบทเรียนเหล่านี้และเกิดขึ้นจากคนของเมืองนี้จริงๆ
ถนนคนเดินเขมราฐเป็นถนนคนเดินที่สะอาดที่สุด ผู้คนที่มาออกร้านและเปิดบ้านสองข้างถนนร่วมกิจกรรมต่างยื่นมือออกมารับขยะจากนักท่องเที่ยวด้วยความเต็มใจ ด้วยไม่ต้องการให้บ้านเมืองของเขาแปดเปื้อน ความหยาบและความมักง่ายของนักท่องเที่ยวก็ค่อยๆ คลายลงเป็นความเกรงอกเกรงใจเป็นความละอายและกลายเป็นวัฒนธรรมการเดินถนนที่ดีงาม
ทุกๆ วันเสาร์ตั้งแต่พลบค่ำหรือที่คนพื้นถิ่นเรียกว่ายามแลงไปจนถึงสี่ทุ่ม ใจกลางเมืองเขมราฐก็จะสว่างไสวราวงานเทศกาล แต่เป็นเทศกาลที่มีขนาดพอดีน่ารักในแบบของคนที่นี่ แม้ว่านักท่องเที่ยวจะมากขึ้นๆ แต่เขมราฐก็ยังเป็นเขมราฐ เป็นเมืองตื่นสายที่ยังความลำบากให้กับนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่โหยหาอาหารเช้าและไม่เข้าใจวัฒนธรรมเมืองของเขา
และถ้าทั้งหมดนั้นเป็นบทเพลง จังหวะและท่วงทำนองของเมืองริมแม่น้ำโขงอย่างเขมราฐที่เร้นกายอยู่ในความเงียบร้างมานานก็เป็นไปแบบนั้น
ถ้าจะให้ดีควรออกไปจากตัวเมืองสักหน่อยหาที่พักริมโขงเพื่อค้างแรม หลายหมู่บ้านที่ซ่อนตัวจากสายตาของโลกยังคงปลูกผักริมตลิ่งโขงที่สูงชันซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่สืบกันมาเป็นร้อยๆ ปี เช่นเดียวกับการทำบุญตักบาตรและความศรัทธาในพุทธศาสนา ในขณะเดียวกันก็มีทางคนเดินริมโขงหลังหมู่บ้าน ที่ยามเช้าๆ เราจะเห็นเงาคนลางๆ เดินออกมาจากรั้วหลังบ้าน ฝ่าหมอกฤดูหนาวหรือไอหมอกแม่น้ำที่ระเหยขึ้นมา เพื่อมาออกกำลังกาย พอแสงแดดอ่อนยามเช้ามายืน ผู้คนเหล่านั้นก็ถือแก้วชา กาแฟออกมานั่งจิบสนทนากันที่ทางเดินเลียบโขงนี้
พอตกยามแลงก็ไปเที่ยวเล่นถนนคนเดินที่น่ารัก และพากันกลับมาก่อกองไฟขึ้นในคืนหนาว อ่านบทกวีสั้นๆ ของท่านติช นัท ฮันห์ ให้กันฟัง
หากเธอเป็นกวี
เธอย่อมหยั่งเห็นก้อนเมฆในกระดาษแผ่นนี้
เพราะหากปราศจากเมฆ
ย่อมไม่มีฝน
หากไร้ฝน
ต้นไม้ย่อมไม่งอกงาม
และเมื่อไม่มีต้นไม้
ย่อมไม่มีกระดาษแผ่นนี้
4
เราจะสร้างเมืองหรือพัฒนาเมืองของเราขึ้นมาจากแนวคิดเชื่อมโยงสัมพันธ์หรือปรัชญาแห่งความว่างได้อย่างไรนะ ?
ผมนึกถึงข้อความตอนหนึ่งในหนังสือเล่มนั้น…
ผมหยุดโยงใยในจินตนาการจากดาร์วิน กวี และดอกไม้ เพื่อถามทะไลลามะว่า “ท่านเจริญให้เกิดความเข้าใจในหลักเหตุปัจจัยอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร”
“ใช้เวลา ใช้เวลา” ทรงตอบ “ความเติบโตทางจิตวิญญาณนั้นอาศัยเวลา ไม่เหมือนเปิดสวิตช์ไฟ เหมือนการก่อไฟมากกว่า ที่ต้องเริ่มประคับประคองจากเชื้อไฟเล็กๆให้ลุกติดขยายเป็นกองไฟใหญ่ขึ้น ส่องสว่างขึ้น…”
ครับ บางทีเราต้องสร้างเมืองจากปรัชญาปัจจยาการแห่งการเชื่อมโยงอิงอาศัยกันหรือความว่างขึ้นในจิตใจและความรู้สึกนึกคิดในคนของเราก่อน
แล้วก็รอเวลา…