01/12/2025
Public Realm

“ยิ้มได้เมื่อสูงวัย” อนาคต (ที่ดีได้) ของคนเมือง

The Urbanis
 


The Urbanis ขอชวนทุกท่านมาทำความเข้าใจโจทย์ใหญ่ของ “เมืองที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย” ผ่านมุมมองด้านสภาพแวดล้อม เมือง และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ว่าในวันที่จำนวนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมืองจะต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อให้ทุกคนและทุกช่วงวัย ยังสามารถมีพื้นที่ใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี สุขภาพดี และมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเต็มที่

ประเทศไทยกับคลื่นความท้าทายของสังคมสูงวัย

สังคมสูงวัย (Aged Society) กลายมาเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญสำหรับภาครัฐในหลาย ๆ ประเทศ เนื่องด้วยการขยายตัวของสังคมสูงวัยที่สวนทางกับอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศไทยเองก็ไม่พ้นที่ต้องเผชิญกับสภาวะดังกล่าวเช่นกัน เนื่องด้วยไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ตั้งแต่ปี 2548 ด้วยจำนวนผู้สูงวัยร้อยละ 10 ของประชากรไทยทั้งหมด และในปัจจุบันไทยก็ได้เข้าสู่สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ (Aged Society) ด้วยจำนวนผู้สูงอายุถึง 13 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรไทยทั้งหมด โดยกรุงเทพมหานครมีจำนวนผู้สูงวัยมากที่สุด อยู่ที่ 1.2 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 22 ของประชากรในกรุงเทพมหานครทั้งหมด (กรมกิจการผู้สูงอายุ, 2566) และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า ไทยจะขยับสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งเป็นเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ทางภาครัฐต้องปรับตัวให้สอดรับกับสภาวการณ์ของสังคมผู้สูงวัยที่เปลี่ยนแปลงไป (วิชช์ เกษมทรัพย์, 2564)

มาตรการต่อสังคมสูงวัย: ยังเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุหรือไม่

การรับมือกับสถานการณ์ของสังคมผู้สูงวัยนั้นสามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบ ซึ่งโดยทั่วไปมาตรการที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้กับสังคมผู้สูงวัยในไทยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การมอบสวัสดิการ เช่น เบี้ยคนชรา การลดหย่อนค่าโดยสารและภาษี หรือการประกอบอาชีพ และการออกนโยบายที่เพิ่มความเท่าเทียมและโอกาสในการเข้าถึงการบริการของรัฐของผู้สูงวัย (กรมกิจการผู้สูงอายุ, ม.ป.ป.) หากแต่การมอบสวัสดิการต่าง ๆ อาจไม่เพียงพอต่อการรับมือกับสภาวะสังคมผู้สูงวัยอย่างมีประสิทธิภาพมากนัก เนื่องด้วยเป็นแนวทางการรับมือแบบปลายเหตุ การรับมือสภาวะดังกล่าวจำต้องเข้าใจถึงธรรมชาติและความต้องการของผู้สูงวัย เพื่อนำไปสู่การออกแบบสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ซึ่งก็คือเมือง เพื่อรองรับและเอื้อให้เหล่าผู้สูงวัยได้มีโอกาสและพื้นที่ในการใช้ชีวิตได้ด้วยตนเอง

ธรรมชาติของผู้สูงวัยกับปัญหาเมือง: วงจรที่ส่งผลต่อกันและกัน

การออกแบบเมืองเพื่อตอบสนองต่อวิถีชีวิตของผู้สูงวัย จำต้องเข้าใจถึงปัญหาของเมืองและธรรมชาติของผู้สูงวัยเพื่อประเมินถึงแนวทางในการออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและพื้นที่จริงได้เหมาะสมที่สุด โดยกรุงเทพมหานครพบว่าผู้สูงวัยส่วนใหญ่จะอยู่ติดบ้าน เนื่องด้วยสภาพร่างกายที่ถดถอยและพื้นที่บริเวณรอบข้างที่ไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิต เช่น พื้นที่สาธารณะไม่เพียงพอและไม่มีคุณภาพ การเข้าไม่ถึงระบบขนส่งสาธารณะ การเข้าถึงแหล่งงานและการสร้างรายได้ (สุพิชชา เอกระ, 2559, น. 119) ส่งผลให้ผู้สูงวัยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเนือยนิ่งอยู่กับที่และปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความเหงา ความวิตกกังวล ภาวะเครียด และมากไปกว่านั้นคือภาวะซึมเศร้าที่มีความเสี่ยงต่อชีวิต เพราะด้วยข้อจำกัดด้านอายุและสุขภาพ บ่อยครั้งที่ผู้สูงวัยต้องอาศัยการพึ่งพาของบุคคลอื่นทำให้อาจเกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระและไม่มีคุณค่าต่อผู้อื่น (บุปผา ใจมั่น และวิจิตรา จิตรักษ์, 2563, น. 501 และสรรเพชร เพียรจัด, 2566, น. 117) ในทางกลับกันก็มีผู้สูงวัยที่ติดสังคมเช่นกัน หากแต่ก็มีปัญหาดังที่ยกตัวอย่างไป ทำให้การใช้ชีวิตเป็นไปอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพและคุณภาพมากนัก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเมืองมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

WHO และเกณฑ์เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย

ในการออกแบบเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย WHO ได้มีการกำหนดเป้าหมายที่ถือเป็นลักษณะสำคัญของเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยทั้งหมด 8 ด้าน ได้แก่ ที่อยู่อาศัย, การเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคม, การได้รับการยอมรับในสังคม, การมีส่วนร่วมของท้องถิ่นและการจ้างงาน, การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร, การสนับสนุนของชุมชนและการบริการด้านสุขภาพ, สภาพพื้นที่ภายนอกและตัวอาคาร และระบบขนส่งมวลชน (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2561) โดยเป้าหมายและการพัฒนาต่าง ๆ เหล่านี้จะไม่สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์หากขาดความเข้าใจในธรรมชาติ ข้อจำกัด และวิถีชีวิตของผู้สูงวัย อีกทั้งต้องคำนึงถึงบทบาทของผู้สูงวัยทั้งในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้พื้นที่และโอกาสแก่ผู้สูงวัยในการใช้ชีวิตได้ด้วยตนเอง ลดการพึ่งพาจากผู้อื่น (สุพิชชา เอกระ, 2559, น. 119) เพื่อทำให้ผู้สูงวัยมีภาวะพฤติพลัง (Active Aging) (จิตรานุช เกียรติอดิศร, 2566, น. 56) มีรายได้เพื่อเลี้ยงชีพอย่างเพียงพอ และสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นภายในพื้นที่ที่อยู่อาศัยเพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตดังที่กล่าวไปข้างต้น นอกจากนี้ หากพิจารณาเป้าหมายดังกล่าวในแง่รายละเอียดจะพบว่าการสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อเพียงกลุ่มผู้สูงวัยเท่านั้น กลุ่มคนอื่น ๆ ในสังคมก็จะได้รับประโยชน์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้พิการ กลุ่มคนเปราะบาง หรือแม้กระทั่งคนทั่วไป เพราะการออกแบบเมืองโดยทั่วไปไม่สามารถออกแบบเฉพาะกลุ่มโดยไม่มีความเชื่อมโยงต่อภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคมได้ เพื่อนำไปสู่การสร้างเมืองน่าอยู่ (Livable City) สำหรับทุกคน (Steels, 2015, p. 47)

สิงคโปร์: ตัวอย่างการสร้างเมือง “A Nation for All Ages”

เราสามารถศึกษาจากกรณีศึกษาในต่างประเทศ ดังเช่น ประเทศสิงคโปร์มีการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาเมืองให้กลายเป็น “A Nation for All Ages” ซึ่งเริ่มจากการตั้งจุดเพื่อรับฟังความเห็นของผู้คนต่อแนวทางในการพัฒนาเมืองและความต้องการของพวกเขา โดยมีการเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกในเมือง เช่น หากผู้สูงวัยใช้บัตรของพวกเขาแตะสัญญาณไฟจราจรเพื่อข้ามถนน ไฟเขียวสำหรับคนข้ามถนนจะเพิ่มขึ้น มีการปูพื้นทางเดินเหนือท่อน้ำทิ้งเพื่อป้องกันการลื่นหรือล้ม การเพิ่มม้านั่งตามจุดต่าง ๆ ของเมือง หรือการเพิ่มสวนสาธารณะและกิจกรรมปลูกต้นไม้ นอกจากนี้ยังมีโครงการขนาดใหญ่ที่ทางรัฐบาลสิงคโปร์ทุ่มทุนสร้างอย่าง Kampung Admiralty ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัยที่เกษียณอายุราชการแล้ว โดยตัวอาคารมีลักษณะการใช้ประโยชน์แบบผสมผสาน (Mixed-use) เพื่อพัฒนาการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยและสร้างพื้นที่ที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม (Age in Place) ซึ่งประกอบไปด้วยโรงพยาบาล จุดจอดรถและจักรยาน สวนขนาดเล็ก ลานกิจกรรม ศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็ก ศูนย์อาหาร นอกจากนี้ยังเป็นอาคารที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2563, น. 74–82)

ฮ่องกง: บริบทพื้นที่จำกัด สังคมสูงวัย และความท้าทายทางเศรษฐกิจ-สังคม

ฮ่องกงเป็นอีกกรณีศึกษาที่นำเอาเป้าหมายลักษณะสำคัญของเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยของ WHO มาปรับใช้ให้ตรงกับบริบทของเมือง โดยมีความท้าทายด้านที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมที่มีขนาดคับแคบ ซึ่งถือเป็นบริบทของพื้นที่ที่จำเป็นต้องนำมาประกอบในการดำเนินนโยบายและกำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย นอกจากนี้ ฮ่องกงยังมีมาตรการ Family-friendly ซึ่งสะท้อนบริบททางวัฒนธรรมครอบครัวในสังคมเอเชียที่แตกต่างไปจากโลกตะวันตก (Hoof et al., 2018)

ในการพยายามสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยของฮ่องกง อุปสรรคที่สำคัญคือปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม ประการแรกคืออุปสรรคด้านความยากจน ในปี ค.ศ. 2016 ร้อยละ 31.6 ของชาวฮ่องกงที่มีอายุมากกว่า 65 ปีนั้นอยู่ในสภาวะยากจน ส่งผลให้ความสามารถในการพึ่งพิงตนเองของผู้สูงวัยลดน้อยลง อีกประการหนึ่งคือการถูกกีดกันทางสังคมของผู้สูงวัย ซึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตของผู้สูงวัยที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานเนื่องจากความไม่มั่นคงทางการเงิน ซึ่งทำให้ปฏิสัมพันธ์และเครือข่ายทางสังคมของผู้สูงวัยนั้นลดน้อยลงตามไปด้วย ผู้สูงวัยในฮ่องกงจึงต้องเผชิญกับความเหงาและการไร้ตัวตนในสังคม เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพจิตใจของผู้สูงวัย (Hong Kong Census and Statistics Department, 2017)

ทั้งนี้ ในการแก้ปัญหาดังกล่าว ได้มีการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้าง เพื่อส่งเสริมความสามารถของผู้สูงวัยภายในชุมชน ทั้งภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน สภาเขต และสื่อท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงวัยและให้เกิดการเข้าร่วมทางสังคมของผู้สูงวัย รวมทั้งการจ้างงานในผู้สูงวัยที่มีศักยภาพ โดยเน้นการทำงานร่วมกันในท้องถิ่นระดับย่านเพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงวัยมีภาวะพฤติพลัง (Active Aging) และเพื่อให้ผู้สูงอายุพร้อมต่อการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างรู้สึกมีคุณค่าและภาคภูมิใจในตนเอง (CUHK Jockey Club Institute of Ageing, 2023)

เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย คือเมืองสำหรับทุกคน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสังคมผู้สูงวัยทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองอื่น ๆ มีลักษณะของปัญหาที่คล้ายคลึงกันทั้งในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งการจะสร้างและพัฒนาเมืองให้สอดรับกับสภาพปัญหาที่เมืองกำลังเผชิญอยู่อาจใช้เป้าหมายตามกรอบของ WHO เป็นพื้นฐานในการกำหนดแนวทางการทำงาน หากแต่การดำเนินการอาจไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามนั้นเสียหมด เนื่องด้วยความแตกต่างของบริบทแต่ละเมือง โดยแต่ละเมืองอาจกำหนดเป้าหมายหรือดัชนีสำหรับการพัฒนาเมืองที่เหมาะสมกับสภาพและบริบทของเมืองตนเอง แต่ในท้ายที่สุด แม้ว่าเป้าหมายหรือดัชนีที่ปรับใช้อาจมีความแตกต่างกัน ก็ล้วนนำไปสู่การออกแบบ สร้าง และพัฒนาเมืองให้กลายเป็นเมืองที่เป็นมิตรและรองรับการใช้ชีวิตของคนทุกกลุ่มภายในเมือง

สุดท้ายนี้ เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยนั้นก็คือเมืองที่ส่งเสริมให้คนเมืองได้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและมีศักดิ์ศรีอย่างเท่าเทียม ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและพร้อมโอบรับคนเมืองอย่างถ้วนหน้า ทั้งยังรองรับพวกเราทุกคนให้พร้อมต่อการเป็นผู้สูงวัยในอนาคต ดังนั้น การสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยจึงเป็นวาระสำคัญที่คนเมืองทุกคนควรให้ความสำคัญร่วมกัน เพื่อสร้างอนาคตที่เลือกได้และดีได้ของคนเมือง

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาโครงการพัฒนาดัชนีประเมินความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมเมืองกับสุขภาวะคนเมืองในยุคสังคมสูงวัย จัดโดย ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC-CEUS) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

รายการอ้างอิง

กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2566). สถิติผู้สูงอายุ. สืบค้นจาก 

https://www.dop.go.th/th/know/side/1/1/2449

กรมกิจการผู้สูงอายุ. (ม.ป.ป.). สิทธิและสวัสดิการผู้สูงอายุ. สืบค้นจาก 

https://www.dop.go.th/th/benefits/3/765

จารุวรรณ ขำเพชร. (2563). การสร้างเมืองแห่งความเท่าเทียมและทั่วถึงเพื่อผู้สูงอายุในเมือง. สืบค้นจาก 

https://ir.swu.ac.th/xmlui/handle/123456789/27900

จิตรานุช เกียรติอดิศร. (2566). การสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ: โจทย์การบริหารจัดการท้องถิ่นใน

ศตวรรษที่ 21. วารสารรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย, 5(9), 51-65. สืบค้นจาก https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/678

บุปผา ใจมั่น และ วิจิตรา จิตรักษ์. (2563). ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ: บทบาทพยาบาล. วารสารวิชาการ

มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น, 17(1), 501-511. สืบค้นจาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/umt-poly/article/view/243066

วิชช์ เกษมทรัพย์. (2564). ไทยพร้อมหรือไม่ กับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์. 

สืบค้นจาก https://op.mahidol.ac.th/ga/posttoday-22-2/#:~:text=ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย%20%28Aged%20Society%29%20มาตั้งแต่ปี%20พ.ศ.%202548%20จนถึงปัจจุบันปี%20พ.ศ.,60%20ปีกว่าร้อยละ%2030%20ภายในปี%20พ.ศ.%202584%20โดยคาดว่าการขยับนี้ใช้เวลาเร็วกว่าประเทศญี่ปุ่นเสียอีก%20%282%29

สุพิชชา เอกระ. (2559). การจัดการสวัสดิการผู้สูงอายุในกลุ่มชุมชนคนจนเมือง: กรณีศึกษาชุมชนหมู่บ้าน

พลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 11(2), 113-123. สืบค้นจาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PNRU_JHSS/article/view/56505

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2561). Age-Friendly City เมืองเป็นมิตรผู้สูงวัย

หน้าตาอย่างไรนะเออ. สืบค้นจาก https://www.thaihealth.or.th/age-friendly-city-เมืองเป็นมิตรผู้สูงว/

CUHK Jockey Club Institute of Ageing. (2023). Strategies for Creating an Age-friendly 

City: Hong Kong as a case study. Retrieved from https://jcafc-port.hk/wp-content/uploads/2023/06/Age-Friendly-City-Case-Book_final-for-online-version_compressed.pdf

Hoof, J. V., Kazak, J. K., Perek-Białas, J. M., & Peek, S. T. M. (2018). The Challenges of 

Urban Ageing: Making Cities Age-Friendly in Europe. Int. J. Environ. Res. Public 

Health, 2018, 15(11), 2473. Retrieved from https://doi.org/10.3390/ijerph15112473

Hong Kong Census and Statistics Department. (2017). Hong Kong Poverty Situation 

Report 2016. Retrieved from https://www.commissiononpoverty.gov.hk/eng/pdf/

Hong_Kong_Poverty_Situation_Report_2016(2017.11.17).pdf

Steels, S. (2015). Key characteristics of age-friendly cities and communities: A review. 

Cities, 47, 45–52. https://doi.org/10.1016/j.cities.2015.02.004


Contributor