27/02/2020
Public Realm
เมืองในเรื่องเล่าแห่งจิตวิญญาณ
วิทยากร โสวัตร
1
เมืองบางเมืองมีความหมายทางจิตวิญญาณ หรือถ้าจะกล่าวให้ตรงกว่านั้นคือมันถูกสร้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นไปในลักษณะยูโทเปียผ่านจินตนาการหรือเรื่องเล่า สถาปัตยกรรมหรือรูปธรรมแห่งเมืองจริงๆ ก็จากแปลนแห่งจิตวิญญาณ
การเดินทางไปสู่เมืองเหล่านี้ ในเบื้องลึกของความรู้สึกคล้ายเรากำลังแกะรอยทางแห่งจิตวิญญาณอันสูงส่ง หรือถ้าเรามีความปรารถนาหรือการแสวงหาในมิตินี้ความหมายก็จะมากขึ้นไปในระดับที่ว่าเราได้วางเท้าก้าวย่างไปบนเส้นทางที่เราใฝ่ฝันแล้ว
2
ลองนึกภาพพระราชวังโปตาลาในธิเบตหรือบรรดาเมืองในเทือกเขาหิมาลัย อย่างเนปาล ภูฏาน หรืออื่นๆ ไม่ว่าเราจะเห็นผ่านรูปหรือผ่านประสบการณ์ตรงจากการเดินทางไปเยือน เราจะประจักษ์และถูกตรึงไว้กับความงามทั้งตัวอาคารบ้านเรือน สภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตผู้คนราวกับเป็นส่วนผสมอันลงตัวของบทเพลงอันไพเราะ ในส่วนลึก ผมอดคิดไม่ได้ว่าเบื้องหลังการสร้างบ้านเมืองแบบนี้มาจากแปลนแห่งจิตวิญญาณบางอย่างซึ่งผมกำลังหมายถึงได้รับแรงบันดาลใจจาก ชัมบาลาเมืองในตำนานซึ่งเป็นต้นตอแห่งศิลปศาสตร์และอารยธรรมหิมาลัย
ตามตำนานกล่าวว่าพระพุทธเจ้า (ฝ่ายมหายานเรียกว่า ศากยมุนีพุทธ) ได้แสดงธรรมว่าด้วยตันตระขั้นสูงแก่ปฐมกษัตริย์แห่งชัมบาลานาม ดาวะ สังโป ซึ่งถือว่าเป็นปรีชาญาณที่ลึกซึ้งที่สุดของพุทธศาสนาแบบธิเบต ภายหลังที่ธรรมเทศนานี้ได้แสดงออกไปอาณาประชาราษฎรก็ดำเนินชีวิตตามพุทธมรรคาด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา เจริญเมตตาจิตและใส่ใจต่อทุกข์สุขแห่งชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย
อาณาจักรที่รุ่งเรืองและสันติสุขนี้ปกครองโดยผู้ทรงสติปัญญาและการุณย์ ทั้งอาณาประชาราษฎร์ก็ล้วนแล้วรอบรู้และเมตตาปราณี
มีนักวิชาการชาวตะวันตกบางคนได้สันนิษฐานว่า อาณาจักรชัมบาลาอาจจะเป็นอาณาจักรโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งมีบันทึกอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ดังเช่นอาณาจักรชางซุงในอาเชียกลาง แต่ก็มีนักวิชาการหลายคนที่เชื่อว่าเรื่องราวเกี่ยวกับชัมบาลาเป็นเพียงเรื่องเล่าขานซึ่งไม่มีมูลความจริง
หากแต่ชาวธิเบตเชื่อว่าอาณาจักรชัมบาลานี้ซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งในความลี้ลับแห่งเทือกเขาหิมาลัย (ไกรลาส) เพราะมีบันทึกไว้ในคัมภีร์พุทธศาสนาว่า ชัมบาลาตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำสิตะ ดินแดนแห่งนี้ถูกแบ่งออกโดยแนวเทือกเขาทั้งแปด พระราชวังของริกเดนหรือราชันผู้ปกครองชัมบาลานั้น สร้างอยู่บนยอดเขาทรงกลมซึ่งตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางดินแดน ขุนเขาลูกนี้ชื่อว่าไกรลาส พระราชวังซึ่งมีชื่อว่ากัลปะกว้างยาวหลายร้อยเส้น เบื้องหน้าพระราชวังทางทิศใต้มีสวนรุกขชาติอันงดงามที่ชื่อว่ามาลัย ตรงกึ่งกลางสวนรุกขชาตินี้มีวิหารซึ่งสร้างอุทิศถวายแด่กาลจักรโดยดาวะ สังโป
แต่ในบางตำนานบอกว่า อาณาจักรชัมบาลานี้ได้สาบสูญไปจากโลกหลายร้อยปีแล้ว เมื่อมาถึงจุดที่ทั้งอาณาจักรได้บรรลุถึงการตรัสรู้จึงได้สูญสลายไปดำรงอยู่ในมิติอื่น
3
สำหรับคนลุ่มน้ำโขงหรือกลุ่มคนในวัฒนธรรมลาวซึ่งมีแผ่นดินถิ่นเกิดโดยมีภูพานเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำโขงที่มีองค์พระธาตุเจดีย์บรรจุอุรังคธาตุหรือกระดูกหัวอกของพระพุทธเจ้าตั้งเป็นหัวใจของดินแดน เบื้องหลังเป็นเทือกเขาภูพานยาวเหยียดสุดสายตา เบื้องหน้าเป็นแม่น้ำโขงกว้างใหญ่ไหลเรื่อยมาแต่ปางบรรพ์ ไกลออกไปเบื้องทิศตะวันออกคือเทือกเขาสลับซับซ้อน เทือกเขาสองฝั่งมีแม่น้ำน้อยใหญ่หลายสายไหลลงแม่น้ำโขงประหนึ่งเส้นผมจากมวยผมของแม่ธรณีที่บีบให้ไหลหลั่งออกมาเป็นสายน้ำเกื้อกูลชีวิตผู้คนในโขงเขตนี้ นั่นคือเมืองธาตุพนม
เมืองซึ่งตามตำนานผู้คนจากทางเหนือน้ำ ไกลสุดถึงหลวงพระบางล่องเรือลงมาไหว้ คนจากปลายน้ำไกลสุดที่เมืองขอมโบราณปากแม่น้ำโขงล่องเรือทวนกระแสน้ำขึ้นมาไหว้ คนบนแผ่นดินใหญ่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขงเดินทางมาข้ามเรือมาไหว้ คนจากฝั่งตะวันตกขององค์พระธาตุทั้งหน้าและหลังแนวเทือกเขาภูพานเดินทางมาไหว้
ลองจินตนาการว่าเราลอยสูงขึ้นไปแล้วมองลงมายังองค์พระธาตุพนมในช่วงวันเพ็ญเดือนสาม แล้ววาดรัศมีการมองไป 360 องศา เราจะเห็นขบวนผู้คนเดินมาเป็นแถวเป็นแนวเป็นกลุ่มเป็นสายทั้งทางน้ำและทางบก ในมือถือดอกไม้ธูปเทียน ว่ากันว่าไม่มีเส้นทางน้อยใหญ่เส้นทางไหนว่างเว้นเหล่าผู้จาริกแสวงบุญ ต่างมุ่งตรงมายังหัวอกพระพุทธเจ้าคือธาตุพนมนี้
เท่าที่สอบถามดูยังมีพยานผู้คนที่เป็นประจักษ์ต่อภาพการณ์นั้นและหลายคนยังมีชีวิตอยู่ แม้ความทรงจำต่อรายละเอียดของเส้นทางและการเดินทางจะเลือนรางไปมาก แต่ความทรงจำต่อธาตุพนมยังสว่างไสวแจ่มชัด
และเรื่องเล่านี้ยังอยู่ใกล้ผมมากเพราะแม่เป็นหนึ่งในพยานเหล่านั้น ตลอดเวลา 12 ปีของวัยเด็กที่เรานอนมุ้งเดียวกันแม่จะเล่าเรื่องราวการเดินทางด้วยเท้า 9 วัน 9 คืนข้ามภูพานไปไหว้ธาตุพนมอยู่เนืองๆ หรือแม้แต่วันคืนสุดท้ายก่อนที่แม่จะจากไปก็ยังเล่าเรื่องธาตุพนมให้ผมฟัง
จะว่าไปแล้วเส้นทางสู่พระธาตุนี้อยู่ในอุรังคนิทานหรือตำนานพระธาตุพนม ซึ่งเล่าว่าพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพานได้เดินทางมาแถบถิ่นนี้กับพระอานนท์ และเทศนาโปรดผู้คนและสัตว์ (โดยเฉพาะพญาปลาตัวหนึ่งในน้ำโขงจนเกิดตำนานพระพุทธบาทเวินปลา) แล้วสุดท้ายก็ชี้จุดที่เมื่อพระองค์ละสังขารแล้วพระมหากัสสปะจะนำกระดูกหัวอกมาประดิษฐานไว้ที่นี่ และเรื่องราวของการเดินทางมาสร้างพระธาตุพนมก็เริ่มต้นขึ้นจากก้าวแรกที่พระมหากัสสปะออกเดินทาง
ภายหลังเราจะพบว่าทุกเรื่องเล่าเกี่ยวกับสถานที่สำคัญและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับในโขงเขตนี้ โดยเฉพาะกลุ่มชนลาวในภาคอีสานของไทยและในประเทดลาวจะต้องผูกโยงอยู่กับการสร้างพระธาตุพนมด้วยกันทั้งนั้น
อันที่จริงแล้ว เส้นทางในนิทานอุรังคนิทานและการสร้างบ้านเมืองในแถบถิ่นนี้ ถูกแกะรอยขึ้นมาโดยพระธุดงค์สืบเนื่องต่อกันมาตั้งแต่โบราณ และรุ่งเรื่องที่สุดในยุคที่ยาคูขี้หอมหรือเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กพาครัวจากเวียงจันท์สามพันกว่าคนมาบูรณะ (พ.ศ. 2233-2235) แล้วได้มอบหมายลูกศิษย์ส่วนหนึ่งให้ดูแลพระธาตุและส่วนหนึ่งให้ตั้งบ้านเมืองโดยรอบเพื่อรักษา และเล่ากันว่า ตำนานพระธาตุพนมที่ชาวดงนาคำได้รับมอบไว้จากเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กนั้นเป็นฉบับดั้งเดิม และละเอียดถูกต้องกว่าฉบับอื่นๆ จารึกลงในลานทอง บรรจุหีบศิลาอย่างดี ต้องเปลี่ยนวาระกันสักการบูชาบ้านเรือนละ 3 วัน เวียนกันไป ถือขลังและศักดิ์สิทธิ์จนเข้ากระดูกดำ ใครไปขอดูก็มิได้ เขาว่าเจ้าเก่านายหลังเขามา พวกเขาจึงจะเอาตำนานนั้นให้ พวกเขาก็จะได้ดิบได้ดี เพราะได้สั่งความกันไว้แต่สมัยก่อนโน้นและบอกลักษณะเจ้าเก่าที่จะมานั้นว่า ต้องพิสูจน์โดยการเอาน้ำใส่โอ (ขัน) ใหญ่และให้เหยียบดู ถ้าน้ำไม่ล้นโอ ก็ใช่
ต่อเนื่องมาจนช่วงหลังบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้งของพระครูวิโรจน์รัตโนบลจากเมืองอุบลเมื่อปีพ.ศ. 2444 กระทั่งถึงปี 2518 ที่พระธาตุถูกปล่อยให้ล้มพังลง และเมื่อเกิดสงครามบนภูพานและสงครามที่ประเทดลาว เส้นทางการเดินเท้ามาแสวงบุญก็ถูกปิดกั้นทำลายลงสิ้น
4
ไม่ว่าอาณาจักรชัมบาลาจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ตำนานแห่งชัมบาลาก็บอกแก่เราถึงร่องรอยแห่งความปรารถนาและความใฝ่ฝันของมนุษย์ในอารยธรรมหิมาลัยถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันจะเป็นสถานที่พำนักแห่งจิตวิญญาณที่จะต้องเดินทางไปสู่ ซึ่งตรงกับที่บรรดาคุรุธิเบตหลายท่านถือว่าอาณาจักรชัมบาลามิใช่สถานที่ซึ่งดำรงอยู่ภายนอก หากเป็นรากฐานของสภาวะการหยั่งรู้และประจักษ์แจ้ง อันเป็นศักยภาพที่ดำรงอยู่ภายในตัวมนุษย์ทุกคน
เช่นเดียวกับอุรังคนิทานหรือตำนานพระธาตุพนมจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่บ้านเมืองในลุ่มน้ำช่วงนี้ก็ได้ปรากฏตัวยืนยันขึ้นแล้วตามที่มีบอกกล่าวในตำนาน โดยเฉพาะตำนานพระธาตุพนมฉบับดั้งเดิมนั้นอาจเป็นเหตุผลที่พระสายวิปัสสนาออกธุดงค์เดินทางมาที่นี่สืบสายกันมาตั้งแต่โบราณ
เมื่อก้มลงกราบพระธาตุพนมแล้วก็ปักกรดลงบำเพ็ญเพียรอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วออกเดินทางสู่ดงนาคำ เพื่อจะได้ชำแรกจิตเข้าไปสู่การเปิดอุรังคนิทานฉบับดั้งเดิมนั้น เพราะเรื่องรอยเท้าอย่างที่ว่านี้ มีแต่ผู้เสวงหาทางจิตวิญญาณเพื่อการหลุดพ้นเท่านั้นที่จะเข้าใจ
5
การได้มาเยือนเมืองเล็กๆ อย่างธาตุพนม และพบว่าตัวเองได้ยืนอยู่ท่ามกลางเรื่องเล่าและตำนานที่ถอดแบบมาจากแปลนแห่งจิตวิญญาณเป็นความรู้สึกที่พิเศษ เรื่องราวรอบๆ ตัวพระธาตุจากภาพสลักต่างๆ นั้นสะเทือนอารมณ์ทั้งทางโลกและทางธรรม และการได้ยืนมองแม่น้ำโขงยามพลบค่ำ แม้วันนี้แม่น้ำโขงจะเปลี่ยนจากสีขุ่นข้นเป็นครามใส ความงามของสายน้ำโบราณในรอยต่อของวันและคืนยังเปี่ยมเสน่ห์และแม้ว่าลาดตลิ่งที่เคยเป็นแปลงผักนานาได้กลายเป็นตลิ่งชันบางช่วงเป็นคอนกรีตแล้ว
แต่ธาตุพนมยังคงเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีตึกสูง และเงียบเร็วหลังม่านราตรีคลี่คลุมไม่นาน
บางค่ำคืนที่ผมเดินเล่นหรือปั่นจักรยานอยู่บนถนนที่ขนาบข้างด้วยตึกแถวเรือนไม้เก่าแก่ บางห้วงอารมณ์เหมือนว่ากำลังเดินทางอยู่กับแม่และฟังแม่เล่าเรื่อง จนบางห้วงขณะแม้แต่เสียงฝีเท้าหรือเสียงปั่นจักรยานก็เงียบหายไปจากสำนึก ราวกับว่ากำลังเดินทางเข้าไปสู่เนื้อในแห่งนิทานอันเก่าแก่ – อุรังคนิทาน !
หนังสืออ้างอิง
1 มหาปรินิพพานสูตร. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสังคายนา ในพระบรมราชูปถัมภ์ พุทธศักราช ๒๕๓๐
2 อุรังคนิทานหรือตำนานพระธาตุพนม ฉบับพิสดาร. พระเทพรัตนโมลี (แก้ว กนฺโตภาโส ป.๖) พิมพ์ครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๐๕
3 ประมวลประวัติ – ตำนาน ๔ เรื่อง ตำนานพระธาตุภูเพ็ก, ประวัติพระธาตุเชิงชุม, ประวัติพระธาตุบังพวน, เถรประวัติ ของ พระธรรมราชานุวัตร (แก้ว อุทุมมาลา ป.ธ.๖ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศํกดิ์), ธันวาคม ๒๕๓๐
4 ชัมบาลา หนทางศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ. เชอเกียม ตรุงปะ เขียน, พจนา จันทรสันติ แปล, พิมพ์ครั้งที่ ๕ , ๒๕๕๑