06/10/2020
Mobility
ได้ยินบรรยากาศ ที่มองเห็นในลิสบอนไหม? Can You Hear the Atmosphere Your Eyes See in Lisbon?
The Urbanis
เรื่องและภาพ : กรกฎ พัลลภรักษา
เสียงแหบพร่าของหญิงสาว ที่เปล่งลมเป็นเสียงออกมา ราวจะละเลงความเจ็บปวดของอารมณ์โศกให้ออกจากอก ละลายหายไปในความมืด แล้วละล่องท่องไปตามลมของฤดูหนาว ผ่าความสงัดเงียบของราตรีไปตามทางเดินที่เป็นตรอกเล็กซอยน้อย สะท้อนจากกำแพงหนึ่งไปยังกำแพงหนึ่ง คลานคืบแทรกวลี ประโยค และเรื่องครั้งหลัง ไปตามก้อนหินแต่ละก้อนของย่านเมืองเก่าในลิสบอน
ฉันยืนเกาะเหล็กดัดที่ริมระเบียง เหมือนกำความเย็น และยอมถูกสะกดให้จมดิ่งลงไปในคลื่นยักษ์ของกาลเวลาด้วยเสียง ที่เต็มไปด้วยความโหยหาในเนื้อร้องของฟาโด เพลงระบายอารมณ์ที่ปล่อยความรู้สึกในกักให้ออกมาโลดแล่นจากบาร์เก่าที่สุดของเมือง ซึ่งไม่ห่างจากที่พักในย่านเมืองเก่า อัลฟามา (Alfama)
ย่านนี้คือ ย่านเดียวของลิสบอน เมืองหลวงของโปรตุเกสที่ไม่ถูกทำลายจากมหันตภัยแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิ หลังจากที่รอดพ้นมานับสิบครั้ง และเช่นกันในปี ค.ศ. 1755 ขณะที่มีแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่สิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมกว่า 85% ของเมืองถูกทำลาย ย่านอัลฟามากลับได้รับผลกระทบเล็กน้อย และยังคงเป็นชุมชนและย่านโบราณของลิสบอนจนถึงวันนี้
เสียงครวญเพลงฟาโดคืนนั้น กำลังกำจัดความหลอนร้าย แล้วปลอบประโลมให้ตระหนักถึงเวลาที่มี ในปัจจุบัน
ในวันนี้ลิสบอนคืออัญมณีน้ำงามที่เหมือนเพิ่งมีคนค้นพบอีกทีในยุโรป ทั้งที่ตั้งของเมือง บรรยากาศที่แวดล้อม ความสวยของสถาปัตยกรรม ศิลปะ อากาศ ขนมนมเนยอย่าง pastéis de nata และอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล ยิ่ง Anthony Bourdain ได้ไปค้นพบความลับของรสชาติอาหารจากหลายร้านถึงก้นครัว ลิสบอนจึงเป็นเมืองปลายทางยอดนิยมข้ามคืน ยิ่งเป็นย่านเมืองเก่า ที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย จะไม่มาใกล้ชิดเลย คงเหมือนว่าฉันยังมาไม่ถึง
อัลฟามา ย่านเมืองเก่านี้ มีเสน่ห์ซ่อนซุกมากมายพอๆ กับความเลี้ยวลดเหมือนเขาวงกตของย่าน ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน ร้านค้า หรือสถาปัตยกรรมอลังการ ที่แบ่งพื้นที่ให้มีร้านรวงในคราบควันเก่าเขม่าอดีต เกาะขมุกขมัวตั้งแต่ป้ายร้านไปจนถึงชั้นวางของด้านใน ขั้นบันไดแทรกตัวกับทางเดินแคบๆ ที่ไต่ขึ้นไปแล้วเหมือนจะเดินขึ้นไปถึงท้องฟ้า น้ำพุเล็กๆ มีดอกไม้จากฝีมือชาวบ้านที่หมั่นมารดน้ำและปลูกไว้รอบๆ ม้านั่งยาวในร่มเงาของโบสถ์ ซานโต แอนโตนิโอ ภาพวาดผนังกราฟฟิตี้มีก้นบุหรี่ตกหล่นอยู่ใกล้ๆ กระเบื้องวาดมือสีขาวฟ้า อซูลเลโฮสบนกำแพงของตึกเก่า หรือกระเบื้องวาดสีที่เป็นผนังบ้านของบางอาคาร ยังไม่นับผู้คนที่จะต้องพบเจอระหว่างการท่องเขาวงกต อัลฟามา ไม่ใช่เมืองเก่าที่สงวนแต่รูปลักษณ์ภายนอก แต่มีกลิ่น เสียง สี และสัมผัสที่มีชีวิตจากคนที่ยังใช้ชีวิตอยู่จากอดีต และปัจจุบัน เป็นความกรุ่นไอของชีวิตที่ไม่มีเครื่องยนต์กลไกหรือเทคโนโลยีอะไรสร้างได้ อัลฟามาเป็นอาณาจักรเมืองเก่าในแนวตั้ง ที่ไม่โดดเดี่ยว เพราะมีการจัดการผังเมืองแบบเขาวงกตได้เหมาะสมไปด้วยระบบการส่งส่ง ที่ยึดโยงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ของการใช้ชีวิตได้น่าอิจฉา ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และขบคิดระบบอย่างมีศิลปะ
ฉันมองพื้นถนนที่เป็นหินเรียงแบบเมืองเก่าของยุโรป แล้วภาพซ้อนของถนนเจริญกรุงที่เคยเห็นรางเก่าของรถรางสีเหล็กเงินยวงมันวับ โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นให้ได้หายใจเพียง 50 เซนติเมตร แล้วมุดหายวับไปใต้ถนนยางมะตอยสีดำ แต่เมื่อมองไกลออกไปๆ รถรางไฟฟ้าคันผอมของลิสบอนก็ปลุกให้กระเถิบถอยจนหลังติดกำแพงตึกริมทางเดิน ไม่ว่าจะแคบแสนแคบ หรือสูงชันหักศอก ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการเดินทางเลย
ลิสบอนมีความหลายหลายของการเดินทาง ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับลักษณะภูมิทัศน์ของเมืองและการใช้งานที่เหมาะสม เพราะมีทั้งเมืองเก่าบนเนินเขาที่ต้องรักษาไว้ และเมืองใหม่บนที่ราบ ที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจ
เมื่ออิงถึงเมืองในเรื่องนี้ ภาพรถรางสีเหลืองมะม่วงสุกก็แล่นเข้ามาทันทีที่เริ่มก้าวเท้าขึ้นเนิน เสียงสั่นระฆังกริ๊งๆ เป็นสัญญาณให้คนที่เดินเท้าได้ระวังตัวไม่เดินไปบนรางที่รถรางจะแล่นไป รถรางไฟฟ้าในลิสบอนมีการเริ่มใช้จริงจังมากว่าร้อยปีแล้ว เป็นสินค้านำเข้ามาจากอเมริกา จนมีอีกชื่อว่า อเมริกาโนส ในวันนี้ รถรางสีเหลืองสว่างของลิสบอนยังคงใช้งานได้จริงได้ดีและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะเส้นทางที่มีความแคบชันแบบย่านอัลฟามา และรวมถึงการใช้จากย่านหนึ่งไปอีกย่านหนึ่งด้วย เป็นระบบขนส่งสาธารณะที่เอื้อให้มวลชนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพราะเป็นรถรางไฟฟ้าที่ไม่สร้างมลพิษ การวางแผนขึ้นรถรางไปรอบๆ ลิสบอน จึงไม่ใช่แค่ทำความรู้จักเมือง แต่ได้ท่องไปในชีวิตผู้คนของย่านนี้ไปด้วย
ยอมไปเถอะ ยอมเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ตามแสงสว่างนั้นไปโดยดี ฉันบอกตัวเอง หาป้ายรถรางไม้สายปรารถนาสักแห่ง ที่มีร้านกาแฟใกล้ๆ ให้นั่งเพลินๆ แล้วกระโจนมายืนที่ป้ายจอดรถ ทันทีที่เห็นรถรางสาย 28 มาถึง แล้วฉันก็ยังกระโดดขึ้นนั่งรถรางไปตามความแคบและชันบนรถรางสาย 12 ด้วย ในโลกคู่ขนานของความโรแมนติกที่อยู่นอกโปสการ์ด คือความชื่นชมในระบบขนส่งของเมือง ที่มีครบทุกรส ทั้งการได้ผ่านเข้าไปทำความรู้จักกับสถาปัตยกรรมเก่า ประวัติศาสตร์ และยังได้เข้าไปในเสี้ยวหนึ่งของวิถีชีวิตคนที่นี่ด้วย
บางทีฉันก็อยู่บนรถราง บางทีฉันก็เดินให้รถรางสั่นระฆังไล่ บางทีฉันก็เดินย้อนกลับไปบนถนนที่เห็นมุมสะดุดตา บางทีย้อนกลับไปก็ไม่ได้เห็นสิ่งที่ตั้งใจ แต่มันก็ทำให้ได้ทำความรู้จักมุมใหม่ๆ และได้มีการผจญภัยเล็กๆ แล้วฉันก็รู้สึกว่าย่านอัลฟามานี้คล้ายเมืองภูเขาของประเทศแถบเอเชีย ที่มีความหลากหลายปนเปของชีวิตแบบชุมชน แต่ต่างด้วยความสะอาด และรายละเอียดของสถาปัตยกรรมที่มีให้สังเกตุตั้งแต่ระเบียงเหล็กดัด บานประตู หรือการเลือกผ้าม่าน
จะไม่ให้ไม่ต่างมากไม่ได้ ยิ่งฉันได้เห็นตุ๊กๆ ที่จอดเรียงเป็นคิวหน้าโบสถ์ตรงทางขึ้นเนินด้วย ใช่… หน้าตาเหมือนตุ๊กๆ ในกรุงเทพมากทีเดียว ต่างที่สี ป้ายทะเบียน เสียงและควัน ลิสบอนในย่านถนนแคบและทางชันนี้ ใช้ตุ๊กๆ ไฟฟ้า ไม่มีเสียงระเบิดของท่อไอเสีย หรือเสียงดังคำรามก้องสะท้อนกำแพงของอาคารที่อยู่ติดๆ กันบนทางแคบแบบนี้ และไม่มีควันจากท่อไอเสียที่จะรมพิษคนที่เดินอยู่ข้างหลัง หรือเข้าไปในหน้าต่างบ้านบนตึกที่สูดอากาศจากทะเล ในรูปทรงที่เหมือนกัน แต่รายละเอียดต่างกันขนาดนี้ ฉันก็อยากเดินเอาหัวไปชนกำแพงตึกอายุหลายศตวรรษแล้วร้องไห้ … ตุ๊กๆ ไฟฟ้าของลิสบอน จึงกลายเป็นพาหนะชอบธรรมในเรื่องของสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ของทั้งนักท่องเที่ยวและคนที่ต้องการใช้บริการ เรียกว่าเป็นความภูมิใจของเมืองได้เต็มปาก
เมืองเก่า ทำให้ฉันได้รู้จักกับความน้อยนิดที่ยิ่งใหญ่ ในการใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ และศิลปะของชีวิต
สิ่งหนึ่งที่เห็นเด่นชัด ไม่เพียงแต่ในลิสบอน หรือในโปรตุเกสเท่านั้น แต่เห็นในหลายประเทศทั่วโลกด้วย เพราะเป็นมรดกจากอิทธิพลของการเป็นเจ้าอาณานิคมเมื่อเกือบหกศตวรรษที่ผ่านมาของโปรตุเกส
มรดกนี้เป็นศิลปะใต้ฝ่าเท้า
มรดกที่อาจถูกเดินข้ามไป เพราะอาจไม่ได้เป็นที่สังเกตมากเท่าลวดลายละเอียดละเมียดละไมของสีน้ำเงินที่เขียนบนกระเบื้องที่เรียกว่า อซูล เลโฮส หรืองานเหล็กดัดประณีต
Calçada คือ ทางเดินปูหินโมเสคลายสีดำขาว ที่เรามักจะเห็นตามลานจตุรัต หรือพลาซ่ากว้างใหญ่ แบบเดียวกันอย่างที่มีในจตุรัตเมืองเก่าในมาเก๊า, รีโอ เดอ จาเนโร หรือแม้กระทั่งในสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค ในนิวยอร์ก ที่บริเวณอนุสรณ์สถานของ John Lennon
คำถามเรื่องใต้เท้าของฉันก่อนที่ติดมาก่อนถึงลิสบอนนั้น ได้คำตอบจากคราวนี้ ก็ลวดลายพื้นหินโมเสคขาวดำที่ย่ำเหยียบผ่านไปผ่านมาสายบ่ายค่ำ คร่ำแดดกรำฝนทนหิมะ ไม่ใช่ความบังเอิญของศิลปะ แต่เป็นถึงหัวใจทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของโปรตุเกส เพราะเป็นงานศิลปะสำคัญที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากสภาเทศบาล และยังมีโรงเรียนเฉพาะทางสำหรับสอนศิลปะงานช่างแขนงนี้ด้วย
เมื่อฉันก้าวลงจากรถรางกลางเมือง ที่พลาซ่า โด โรสซิโอ (Praça do Rossio ) ก็รี่ไปเอาเท้าย่ำไปบนพื้นลายคลื่นขาวดำบนลานกว้างใหญ่ เหมือนแหวกว่ายอยู่ในทะเล เพราะนี่เป็นลายคลื่นก้อนขยัน ระลอกเล็กที่กอดกันใกล้ชิด กว่าพื้นลายคลื่นที่เมืองเก่าในมาเก๊า ที่เคยเห็นมาก่อน
ความจริงถ้าสังเกตดีๆ ว่าใต้เท้าของเรามีเรื่องน่าสนใจ ก็จะได้รู้จักว่าทางเดินโดยเฉพาะในอัลฟามา มีศิลปะใต้เท้าเกือบทุกแห่ง เพราะบนพื้นของซอกเล็กซอยน้อยต่างก็มีพื้นเรียงโมเสค เป็นลายกราฟิกเรียบๆ เป็นระเบียบหลายแห่งมาก เป็นคุณภาพความคิดทางสุนทรีย์ที่มีมานาน เป็นการประกาศอิทธิพลศิลปะไปในรายละเอียดถี่ย่อย ที่กลายเป็นความสุขในการใช้สอย ที่มีคุณค่า และเป็นความงามทางสายตาไปด้วย ลายส่วนมากของการปูพื้นด้วยโมเสคนี้ จะอิงจากประวัติศาสตร์ในยุคทองของโปรตุเกส จากช่วงศตวรรษที่ 15-16 ซึ่งออกมาเป็นรูปคลื่น เรือ โลมา ท้องฟ้าและหมู่ดาว… มีพื้นที่ใหญ่ๆ บางจุดที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างศิลปิน และช่างวางโมเสคเป็นรูปต่างๆ และมีพื้นที่หนึ่ง เป็นรูปนักร้องฟาโดด้วย
ถึงแม้ว่าในวันนี้ ทางเดินเท้าที่สร้างใหม่ จะสร้างเพื่อความรวดเร็วด้วยการใช้ซีเมนต์ราด แต่ศิลปะบนพื้นใต้ฝ่าเท้ายังไม่ได้ถูกทำลายหรือสูญหาย แต่กลับได้รับความสนใจจากศิลปินและช่างฝีมือมากขึ้น รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการบำรุงรักษา และสืบทอดมรดกของศิลปะโบราณต่อไปอย่างจริงจัง
มีโรงเรียนที่ให้ความรู้ และฝึกอบรม calceteiros หรือช่างปูโมเสคทางเดิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 เพื่อผลิตช่างฝีมือที่จะสืบทอดงานศิลปะนี้ ให้มีความรู้และความชำนาญในงานพื้นโมเสคนี้ และเพื่อสร้างพื้นที่ใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบันมีช่างฝีมือเฉพาะด้านอยู่กว่า 200 คน
ความพยายามในการอนุรักษ์ศิลปะใต้เท้า ไม่เพียงแต่เป็นสืบทอดวัฒนธรรมและงานศิลปะ แต่เป็นหมุดที่บอกถึงการใช้ชีวิตของคนในเมือง ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สาธารณะส่วนรวม ทั้งทางคุณค่าความสวยงามทางสายตาและความรู้สึก … มากกว่าการเป็นเพียงแค่ทางเดินเหยียบย่ำข้ามไป แต่เป็นการให้ความสำคัญของสุนทรียะทางใจและประโยชน์การใช้งาน
ถึงแม้ เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสรู้จักความหมายของรายละเอียดทุกอย่างเสมอไป แต่เมื่อเมืองใส่ใจในรายละเอียด ความหมายจึงไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ แต่มันทำให้เกิดความบรรยากาศของความรู้สึกที่รื่นรมย์ แม้กระทั่งเพลงฟาโดทีลอยมาตามลมก็เช่นกัน ตราบใดที่ยังได้ยินเสียงครวญกล่อมเมือง ตราบนั้น ก็ยังแปลได้ว่ายังมีคนสนและใส่ใจ