22/08/2025
Environment

เปลี่ยนพื้นที่รกร้าง เป็นสวนเกษตรของชุมชน โมเดลการพัฒนาชุมชนโมราวรรณ 2

The Urbanis
 


หลังจากครั้งที่แล้วพาผู้อ่านไปรู้จักสำนักงานเขตหลักสี่ที่เสริมสร้างความเข้มแข็งของคนในองค์กรจากองค์ความรู้การทำเกษตรในเมือง ทั้งนี้เราจะพาผู้อ่านทุกท่านไปรู้จักการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนด้วยการทำเกษตรในเมืองที่เกิดจากความสนใจของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งและถ่ายทอดไปยังกลุ่มใหญ่ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ในระดับหน่วยงานเหมือนครั้งที่แล้ว แต่เป็นในระดับชุมชน เริ่มต้นจากคนในชุมชนสนใจเรื่องการทำเกษตร เพื่อต้องการสร้างอาหารปลอดภัยเพื่อแจกจ่ายให้กับคนในชุมชน

วันนี้ The Urbanis จึงพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับชุมชนโมราวรรณ 2 หนึ่งในชุมชนที่นำแนวคิดเกษตรในเมืองมาใช้พัฒนาพื้นที่ และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน จนเกิดเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็ง จุดเริ่มต้นในการทำเกษตรในเมืองของชุมชนนี้คืออะไร? การนำเกษตรในเมืองเข้ามาใช้พัฒนาชุมชนเป็นอย่างไรบ้าง? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน

อะไรที่เป็นแรงผลักดันในการทำเกษตรในเมืองของชุมชนโมราวรรณ 2 ?

“การทำเกษตรในเมืองเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง” คำพูดจากอาจารย์ภูมิใจ หนึ่งในสมาชิกชุมชนโมราวรรณ 2 ที่มีความสนใจในการทำเกษตรกรรมบนพื้นที่ว่างเปล่าภายในชุมชน 

จุดเริ่มต้นจากสมาชิกชุมชนโมราวรรณ 2 มีความสนใจการทำเกษตรในชุมชนจึงได้หารือแนวทางการนำพื้นที่รกร้างมาสร้างให้เกิดประโยชน์ โดยหัวใจหลักของการทำสวนเกษตรครั้งนี้คือ ให้คนในชุมชนมามีส่วนร่วมในกิจกรรม ไม่ใช่เพียงต้นทุนวัสดุอุปกรณ์แต่รวมถึงองค์ความรู้ การร่วมมือร่วมใจ  และทักษะในการทำการเกษตรที่ช่วยกันพัฒนาทักษะ จนสามารถสร้างเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งได้ โดยเป้าหมายหลักของการทำเกษตรในเมืองของชุมชน คือ  เพื่อต้องการแบ่งปันอาหารสู่ครัวเรือนกันเองในชุมชม และเป้าหมายต่อมา คือ เรื่องการจัดการขยะ เราจะเริ่มจากการคิดไอเดียที่ทำได้ง่าย ไม่มีต้นทุนสูงเพราะเราเน้นแค่ว่าทำได้จริงและเกิดประโยชน์ให้กับชุมชนจริง หากชุมชนเห็นความสำคัญของการหาทางออกของปัญหา และคนในชุมชนให้ความร่วมมือ ก็จะเกิดสร้างมิตรไมตรีและเกิดความตระหนักการอยู่รวมกันของคนในชุมชนเพื่อเครือข่ายในชุมชนที่เข้มแข็ง 

แสดงให้เห็นว่า หัวใจหลักของการทำเกษตรในเมืองของชุมชนโมราวรรณ 2  คือ  ความร่วมมือของคนในชุมชนโดยมีแรงใจเป็นตัวขับเคลื่อนการทำสวนเกษตร  มาจากการเริ่มต้นด้วยแนวคิดที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนสูงและทำได้ง่าย ช่วยให้สมาชิกในชุมชนสามารถเห็นกระบวนการทำจริงและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจัดการระบบสิ่งแวดล้อมที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในชุมชน อันเป็นแรงกระตุ้นให้มีการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของสมาชิกในชุมชนต่อไป

ความท้าทายเรื่องแรงงานการดูแลสวนเกษตรและวิธีรับมือ

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่เป็นข้อจำกัดและข้อท้าทายของชุมชนโมราวรรณ 2 คือ ไม่สามารถขยายเป็นสวนเกษตรขนาดใหญ่ เนื่องจากข้อจำกัดด้านแรงงานคน เพราะขั้นตอนการดูแล และทำสวนเกษตรในชุมชนมีคนรับผิดชอบหลัก ๆ เพียง 10 คน  แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาในการดูแลสวนเกษตรในเมือง เพราะสมาชิกในองค์กรเกิดความเข้าใจและการสร้างองค์ความรู้ให้กับคนในชุมชน ทำให้คนในชุมชนสามารถคิดภาพตาม และให้ความร่วมมือในการดูแลสวนเกษตรร่วมกันได้โดยไม่ได้ให้ความสำคัญที่ปริมาณแต่มองไปถึงการพัฒนาาศักยภาพผ่านกระกระบวนการจัดการกลไกบริหารของคนในชุมชน

สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนเกษตรในเมืองของชุมชนโมราวรรณ 2 อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้การทำเกษตรในเมืองในชุมชนให้ยั่งยืนต้องอาศัยทั้งความร่วมมือของคนในชุมชน การสร้างความร่วมมือ เมื่อเป็นแง่ของคนในชุมชน เราไม่สามารถโฟกัส แค่คน คนเดียว หรือกลุ่มเดียว แต่สนใจคนในชุมชนทุกคน ชุมชนโมราวรรณ 2 จึงเน้นการเดินไปพร้อมกันไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หากชุมชนยังขาดองค์ความรู้ หรือทุนอุปกรณ์ตรงไหน จะช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำ การแบ่งปันทรัพยากร หรือการสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการทำเกษตรในเมืองได้อย่างแท้จริง และสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน ดังนั้นการทำพื้นที่เกษตรในเมืองของชุมชนให้ยั่งยืนต้องทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และความช่วยเหลือให้คนในชุมชนสามารถพัฒนาไปพร้อมกับพื้นที่เกษตรในชุมชน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปพร้อมกับการเพิ่มศักยภาพให้กับชุมชน

การนำขยะกลับมาใช้ใหม่ในสวนเกษตรชุมชน

คนในชุมชนโมราวรรณ 2 ช่วงแรกยังขาดความเข้าใจ ขาดความตระหนักถึงการเพิ่มขึ้นของขยะ และอันตรายจากขยะ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ไกลตัว เหมือนการได้ทิ้งขยะชิ้นนึง และขยะชิ้นนั้นก็ถูกลืมไปว่าเราเคยทิ้ง ทำให้ขยะชิ้นนั้นสะสมจนเกิดเป็นปัญหาในชุมชน เช่น  ปัญหาสภาพแวดล้อมในชุมชน มุมมองทัศนียภาพถูกทำลาย  และพาหะนำโรค เป็นต้น

อาจารย์ภูมิใจ เสนอแนวทางการสร้างกระบวนการแก้ไขปัญหาของชุมชนนี้ คือ การนำขยะเปียกมาReuse หรือนำกลับมาใช้ใหม่ ให้เกิดประโยชน์ โดยนำมาทำเป็นน้ำหมักปุ๋ย และใส่น้ำหมักไว้ในถังให้ผสมกับขยะเปียกที่คนในชุมชนนำมาทิ้ง เพื่อมาใช้ในการทำเกษตรในเมือง แนวทางนี้จะถูกนำมาทดลองทำให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อน เพื่อให้คนในชุมชนได้เข้าใจและเห็นผลลัพธ์จริง ก่อนจะขยายแนวคิดนี้ให้เป็นกิจกรรมที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ในอนาคต การทำเช่นนี้จะช่วยให้คนในชุมชนเข้าใจวิธีการและประโยชน์ของการ Reuse ขยะ และทำให้พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของการหมุนเวียนทรัพยากรขยะมาใช่ให้เกิดคุณค่า ซึ่งเป็นขั้นตอนการลดขยะในชุมชนและนำไปสู่การแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืนในอนาคต

ขยะแลกผัก โมเดลที่ต้องการจะขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง

วิธีการจำกัดขยะเปียกที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ไม่เพียงแต่จะทำให้ชุมชนเกิดสภาพแวดล้อมที่ดีและสะอาด ยังเป็นผลประโยชน์กับเครือข่ายในชุมชนหรือคนในชุมชน เมื่อขยะเปียกถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับทำปุ๋ยหรือเป็นแหล่งพลังงานในกระบวนการเกษตร ชุมชนก็จะได้รับผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น หนึ่งในแนวคิดที่เครือข่ายชุมชนเสนอ คือโครงการ “ขยะแลกผัก” ซึ่งเปิดโอกาสให้คนในชุมชนสามารถนำขยะมาร่วมแลกเปลี่ยนกับโครงการ และได้รับผลผลิตทางการเกษตรเป็นการตอบแทน ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกในชุมชน ทำให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเมืองให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และที่สำคัญคือช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร ทำให้คนในชุมชนสามารถเข้าถึงผักสดปลอดภัย และเห็นคุณค่าของขยะที่สามารถทำได้มากกว่าการเอาไปกำจัดทิ้ง

การยกระดับเกษตรในเมืองระดับชุมชนสู่แหล่งการเรียนรู้

ความรู้การทำเกษตรในเมืองของชุมชนโมราวรรณ 2 ไม่เพียงแต่จะนำมาใช้ในการทำเกษตรของชุมชุม รวมทั้งยังสามารถเเป็นแหล่งบริการความรู้ และให้คำปรึกษาในการทำการเกษตรเพื่อแบ่งปันความรู้ประสบการณ์ในการทำการเกษตรในเมืองของชุมชนเพื่อเผยแพร่ไปยังนอกชุมชน นอกจากนี้พื้นที่ในชุมชนพัฒนาให้เป็นศูนย์การเรียนรู้เปิดโอกาสให้นักเรียนและเยาวชนที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงาน และฝึกลงมือทำจริง เพื่อให้เข้าใจการเพาะปลูกตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนสามารถนำไปต่อยอดใช้ในครัวเรือนของตนเองได้ การส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีความรู้และความสนใจในการทำเกษตร จะช่วยผลักดันให้เกษตรในเมืองเติบโตและขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ได้มากขึ้น ทำให้การทำเกษตรไม่ใช่เรื่องไกลตัว และสามารถเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในเมืองได้อย่างแท้จริง

สิ่งที่อยากจะทำต่อไปในการต่อยอดจากเกษตรในเมือง

ชุมชนโมราวรรณ 2 มีการสร้างเครือข่ายในชุมชนและนอกชุมชน จากการทำเกษตรในเมือง เราต้องการให้เกิดการผลักดันการจัดกิจกรรมให้แก่ผู้สูงอายุให้ขยับเขยื้อนร่างกาย รวมถึงสร้างงานให้พวกเขา โดยการสนับสนุนผ่านเครือข่ายจากหน่วยงานภายนอกชุมชน อย่างโครงการ to be number one เพื่อจัดกิจกรรมโดยเชิญชวนผู้สูงอายุและคนในชุมชนเพื่อทำอาหารผ่านการใช้ผักผลไม้ในสวนแปลงร่วมกัน และสอดคล้องกับโครงการของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่สนับสนุนให้นำผลผลิตจากสวนเกษตรนำมาทำอาหาร เพื่อผลักดันให้เกิดการส่งเสริมการบริโภคอาหารปลอดภัยให้แก่ผู้สูงอายุและคนในชุมชน

ดังนั้น การรวมตัวกันของสมาชิกในชุมชนและความเข้มแข็งที่เกิดจากการทำสวนเกษตรไม่ได้หมายถึงแค่การได้รับผลผลิตและแจกจ่ายให้คนในชุมชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้ผลลัพธ์จากการทำเกษตรมาช่วยแก้ปัญหาในชุมชน และปรับปรุงการจัดการระบบต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเกษตรเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงประเด็นอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาชุมชนโดยรวม การทำเกษตรของชุมชนโมราวรรณ จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือเพื่อจัดการกับปัญหาใดปัญหาหนึ่ง แต่ยังเป็นทั้งเครื่องมืออเนกประสงค์ที่สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในชุมชนได้หลากหลายด้าน

สิ่งที่ชุมชนต้องการและอยากจะบอกชุมชนเกษตรอื่น ๆ 

การทำเกษตรในเมืองของชุมชนแบบเราเป็นชุมชนขนาดเล็ก ควรเริ่มทำจากการมองทุนในชุมชนของตนก่อน และพัฒนาตามฐานความเป็นไปได้จากทุนในชุมชนและองค์ความรู้จากทักษะการเรียนรู้จากกระบวนการการแก้ไขปัญหาจากการทำเกษตรในเมืองให้มีความยั่งยืน โดยควรไคุให้ความสำคัญกับคุณภาพ เช่น การร่วมมือร่วมใจกันทำในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะการเพาะปลูกให้แก่คนในชุมชนการเพิ่มแหล่งอาหารปลอดภัยเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในอาหาร มากกว่าการเน้นปริมาณผลผลิต รวมถึงเราต้องการทำให้โมเดลตรงนี้สามารถแผ่ขยายแนวคิดไปถึงคนเมือง เพื่อให้พวกเขาได้สนใจการทำเกษตรในมิติที่มากกว่าการเพิ่มรายได้ แต่เป็นในมิติของสุขภาพ คุณภาพชีวิต การสร้างปฎิสัมพันธ์ระหว่างกัน หากแนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้น ก็จะทำให้การทำเกษตรในเมืองเติบโตไปพร้อมกับคนที่ลงมือทำจริง และกลายเป็นแนวทางที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองได้

ความเข้มแข็งของเครือข่ายชุมชนโมราวรรณ 2  คือ ปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้การทำเกษตรในเมืองเกิดความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพองค์ความรู้ และการร่วมมือกันของคนในชุมชนเป็นหลัก สามารถทำให้การทำการเกษตรเป็นมากกว่าการทำการเกษตร แต่เป็นตัวกลางในการพัฒนาองค์ความรู้ของคนในชุมชน และ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนได้ นอกจากนี้ แนวคิดเกษตรในเมืองยังสามารถขยายผลไปสู่การพัฒนาเมืองที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยการทำเกษตรไม่เพียงช่วยให้คนเมืองมีแหล่งอาหารปลอดภัย แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ รวมถึงช่วยเพิ่มทักษะในการจัดการปัญหาผ่านกลไกการบริหารงานสวนเกษตรในเมือง ถือเป็นแนวทางที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองในหลายมิติ 

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะด้วยแนวคิดเกษตรในเมือง: กลไกบูรณาการเชิงนโยบายเพื่อสร้างพื้นที่สุขภาวะ และพื้นที่ส่งเสริมความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารของกรุงเทพมหานคร ดำเนินการโดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC-CEUS) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


Contributor