ภาวะโลกร้อน



น้ำไร้ทางออกจนตรอกอยู่ใต้บาดาล

01/09/2020

หลายคนคงจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า วันที่น่ากลัวที่สุดของกรุงเทพฯ คือ “วันศุกร์ สิ้นเดือน ที่ฝนตก” ส่วนผสมของ 3 ปัจจัยที่ลงตัวที่สุดนี้ทำให้การจราจรหนาแน่น แน่นิ่ง และเนิ่นนาน จนกลายเป็นเรื่องขนหัวลุกของคนกรุงเทพฯ แทบทุกคน บางครั้งการเดินทางเพียง 15 นาทีในขณะที่ไม่มีการจราจรหนาแน่นก็สามารถถูกยืดให้กินเวลายาวนานถึง 3 ชั่วโมงได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกัน เมืองและวิถีชีวิตของผู้คนก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อก่อนตอนที่คนส่วนมากทำงานประจำในบริษัท วันศุกร์ก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์จึงเป็นเหมือนวันปลดล็อกชีวิตให้ได้เริ่มพักผ่อนและวันสิ้นเดือนที่เงินเดือนออกจึงกลายเป็นวันที่ควรค่าแก่การให้รางวัลตนเอง ถึงแม้วิถีชีวิตดังกล่าวยังเป็นเรื่องปกติของหลายต่อหลายคน แต่คนเมืองอีกส่วนหนึ่งได้เริ่มหันมาทำงานในอาชีพอิสระรวมถึงทำงานนอกเวลาเสริมกับงานหลักของตนมากขึ้น ความสำคัญของคืนวันศุกร์ก็อาจจะค่อยๆ ลดลงในวิถีชีวิตของแต่ละคน บางคนอาจได้พักแค่ในวันอาทิตย์ บางคนอาจต้องทำงานวันเสาร์อาทิตย์แล้วได้พักในวันธรรมดาแทน หรือบางคนอาจไม่มีวันพักผ่อนที่แน่นอนเลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานอิสระ เช่น ฟรีแลนซ์ และคนทำงานนอกระบบอื่นๆ นอกจากนี้กระแสรายได้สำหรับคนที่ทำงานหลากหลายและคนที่ทำงานอิสระก็เริ่มไม่สัมพันธ์กับช่วงเวลาสิ้นเดือนอีกต่อไป เมื่อแต่ละคนมีวันว่าง วันพักผ่อน หรือวันให้รางวัลตนเองไม่เหมือนกัน ความหนาแน่นของการออกมาใช้เมืองและท้องถนนจึงมีความกระจัดกระจายมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ความสำคัญของวันศุกร์และช่วงสิ้นเดือนเริ่มลดลงในบริบทของวิถีชีวิตและการใช้เมืองที่ต่างไป จากส่วนผสมความน่ากลัวของรถติดทั้ง 3 ด้านที่กล่าวไว้ ปัจจัยที่ยังคงเหลืออยู่และดูจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นก็คงจะหนีไม่พ้นฝน จนกลายเป็นคำพูดใหม่ติดปากคนกรุงเทพฯ ที่เหลือเพียงสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “ฝนตกรถติด” ในช่วงมรสุมของทุกปีอย่างที่เรากำลังเผชิญอยู่ในเดือนที่ผ่านมานี้ ฝนและน้ำท่วมจะคอยกลับมาเป็นประเด็นทางสังคมอยู่เรื่อยๆ ซึ่งในบทความนี้จะไม่พูดถึงเรื่องการจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วมจากฝนมากนัก เนื่องจากเป็นประเด็นที่ถกกันในภาคสังคม ภาควิชาการ และภาคการเมืองมาอย่างมากแล้ว แต่ประเด็นที่น่าสนใจซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ (Climate […]

Urban design ทำให้กรุงเทพฯ เย็นลง 2°C ได้อย่างไร

01/11/2019

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่แน่ชัดที่เราต่างรู้สึกว่าอากาศร้อนๆ เป็นของคู่กับกรุงเทพฯ ความร้อนของชนบทที่มากกว่าในเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องที่คิดกันไปเอง เพราะ เซน – กิตติณัฐ พิมพขันธ์ นิสิตภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทบทวนงานวิจัยที่ผ่านๆ มาแล้วพบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยพื้นที่กลางเมืองกับพื้นที่ชนบทนั้นต่างกันมากกว่า 6 องศาเซลเซียส สภาวะแบบนี้มีชื่อเรียกว่า เกาะความร้อนเมือง (urban heat island)  ซึ่งมีสาเหตุหลักอยู่ 2 ปัจจัย คือ การเปลี่ยนแปลงพื้นผิวของแผ่นดินจากการพัฒนาเมือง อีกส่วนหนึ่งความร้อนที่ปล่อยออกจากการใช้พลังงานอาคาร กิจกรรมการสัญจรโดยรถยนต์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงระดับการเพิ่มของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นส่วนที่มีอิทธิพลสำคัญที่สุดในการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global heating) เมื่อดูข้อมูลเจาะจงในพื้นที่เมืองช่วง 30 ปีย้อนหลัง ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 0.6 องศาเซลเซียส “สภาวะน่าสบาย” ของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ นั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 28-31 องศาเซลเซียส แต่หากดูค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 2 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิในเมืองหลวงเกินสภาวะน่าสบายไปที่ 2-3 องศาเซลเซียส นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงรู้สึกร้อนสุมทรวง ต้องหามุมหลบในซอกหลืบเงาร่มของอาคาร งาน Thesis ของเซนจึงพยายามใช้ความรู้ด้าน Urban design และ […]